“เราไม่มีวันรู้ว่าวันพรุ่งนี้หรือชาติหน้าจะมาก่อนกัน” เป็นคำที่ท่านดาไล ลามะ เตือนสติเราให้ไม่ประมาทในชีวิต คุณ กรรณจริยา สุขรุ่ง ตัวแทนจากโครงการเผชิญความตายอย่างสงบเครือข่ายพุทธิกา เปิดเวทีรับฟังด้วยการชวนให้ผู้เข้าร่วมงานกว่า 100 ชีวิตได้ลองจินตนาการความตายของตน
วิทยากรเชื้อเชิญให้ทุกคนนั่งผ่อนคลาย และหลับตา ตามลมหายใจเข้าออก และ พิจารณาว่า
“ลมหายใจเข้าและออกบาง ๆ เบา ๆ นี้เองที่เป็นสายธารหล่อเลี้ยงชีวิต หากลมหายใจเข้าไม่ออกมา หรือลมหายใจออกไม่มีลมเข้าไปต่อ ชีวิตของเราก็มีอันจบสิ้นไป ความเป็นและความตายอยู่ใกล้เราเพียงปลายจมูก
เรารู้สึกอย่างไร
จินตนาการถึงยามเช้า เมื่อรุ่งอรุณแห่งชีวิตเริ่มขึ้นพร้อมกับแสงอาทิตย์ที่ฉายฉาน
ดอกบัวคลี่กลีบบานรับวันใหม่
หยดน้ำค้างใสกระจ่างบนยอดหญ้า
ทุกชีวิตมีชีวา
นึกถึงครอบครัวของเรา พ่อ แม่ สามี ภรรยา ลูก หลาน ญาติพี่น้อง นึกถึงเพื่อนฝูงที่รัก เพื่อนร่วมงาน สัตว์เลี้ยง อีกไม่นานเราจะต้องจากพวกเขาไปแล้ว เรารู้สึกอย่างไร
นึกถึงการงาน หรือ โครงการที่เรารัก ทุ่มเทเวลา แรงกาย แรงใจมาตลอด บัดนี้เราจะไม่ได้ทำสิ่งนั้น ๆ อีกแล้ว
นึกถึง เงินทอง ทรัพย์สิน ต่าง ๆ ที่เรามีและสะสมไว้มาตลอดชีวิต ไม่ว่าเราจะรักและชื่นชอบสิ่งเหล่านี้อย่างไร เราก็จะต้องทิ้งมันไว้ข้างหลัง
แม้แต่ร่างกายนี้ที่เราอยู่กับเขามาแต่เกิด เราก็ต้องวางร่างนี้ไป
เรารู้สึกอย่างไรที่กำลังจะจากโลกที่คุ้นเคยไป”
หลังการทำจินตภาพภาวนา วิทยากรเชิญให้ผู้เข้าร่วมในแต่ละกลุ่ม แลกเปลี่ยนความรู้ลึกเมื่อคำนึงถึงความตายของตนเอง
หลายเสียงสะท้อนก้องว่า หวั่นไหว กลัว และโดยมาก มักกลัวว่าคนข้างหลังจะอยู่กันอย่างไร หลายคนสะท้อนว่า
“เพิ่งได้ทบทวนอนาคตของทุกชีวิตที่จะพบกันที่ประตูแห่งความตาย และได้เห็นว่าที่ผ่านมา ตนเองไม่ได้เตรียมตัว เตรียมการใด ๆ ไว้เลยสำหรับภาระกิจการงาน หรือผู้ใกล้ชิด”
แต่หลายท่าน โดยเฉพาะท่านที่ทำงานเกี่ยวกับความตายและการเจ็บป่วยระยะสุดท้าย ดูเหมือนว่าจะตระเตรียมใจของตัวเองไว้เป็นอย่างดี
อย่างท่านประธานอาสาสมัครสาธารณสุขท่านหนึ่งบอกว่า เนื่องจากท่านเป็นพิธีกรในงานศพบ่อยครั้ง จึงได้เตรียมการสำหรับความตายของตนไว้แล้ว คือ ได้บันทึกเสียงเพื่อเป็นพิธีกรในงานศพของท่านเอง
คำถามที่สองที่คุณกรรณจริยา ชวนใคร่ครวญต่อ คือ หากเราเลือกได้ เราจะออกแบบการตายของเราอย่างไร
“เมื่อความตายอยู่ตรงหน้าแล้ว อะไรคือสิ่งสุดท้ายที่เราอยากเห็น ใครคือคนที่เราอยากอยู่ด้วยในเวลานี้ ก่อนที่ตาจะปิดลงชั่วนิรันดร์
อะไรคือเสียงสุดท้ายที่เราอยากได้ยิน
อะไรคือสัมผัสสุดท้ายที่เราอยากรับรู้
เราอยากปิดฉากชีวิตของเราในที่แห่งใด
เราอยากร่ำลาโลกที่คุ้นเคยนี้อย่างไร
มีอะไรบ้างที่เราอยากทำ และอยากให้คนอื่นทำให้เรา
และมีอะไรบ้างที่เราอยากขอไม่ให้กระทำกับเราในเวลาสำคัญนี้
… ก่อนที่เราจะจากกัน”
จากนั้น ผู้เข้าร่วมประชุมแลกเปลี่ยนความเห็น ความรู้สึกกันในกลุ่ม
หลายคนปรารถนาจะตายที่บ้าน แต่ก็มีบางคนที่อยากจากไปในบรรยากาศที่ตนชอบ “ขอตายในบรรยากาศใกล้ชาวทะเล และได้อยู่กับคนที่เรารัก” ผู้เข้าร่วมประชุมท่านหนึ่งกล่าว
เสียงที่หลายคนอยากได้ยิน ในวาระสุดท้าย คือ เสียงพระเทศน์หรือเสียงสวดมนต์ และบางคนก็อยากได้ฟังเสียงเพลงที่ชอบ เช่นเพลงไทยเดิม
พยาบาลท่านหนึ่งซึ่งเข้าร่วมประชุมเล่าเหตุการณ์หนึ่งสะท้อนถึงความต้องการเบื้องลึกในวาระสุดท้ายของคนไข้จำนวนหนึ่ง “คนไข้นอนใส่ท่อที่คอมาหลายเดือนแล้ว ทำให้ไม่สามารถพูดหรือสื่อสารอะไรได้ ท่านดูทุรนทุรายกระสับกระส่าย แล้ววันหนึ่ง ท่านจึงถอดท่อออกด้วยตัวเอง เพราะท่านอยากคุยกับลูกหลานเวลาพูดท่านก็เอามือปิดคอไว้ ดูท่านมีความสุขมากที่ได้สั่งเสีย ล่ำลากับลูกหลาน และท้ายที่สุดท่านก็จากไปอย่างสงบ”
นายแพทย์ท่านหนึ่งกล่าวว่า “หากถึงวาระของเรา เราไม่ขอใส่ท่อช่วยหายใจ ไม่ขอหลายสิ่งหลายอย่างที่เรามักทำให้คนไข้ สิ่งนี้ทำให้เราต้องหันกลับมาทบทวนตัวเองจริง ๆ ว่าทำไม เราจึงรู้สึกเช่นนั้น”
จบกระบวนการชวนคิดวาระสุดท้าย หลายคนได้เห็นแล้วว่าการตายที่พึงปรารถนาของตัวเองนั้นเป็นอย่างไร แต่จะเป็นไปได้เพียงใดนั้น คงขึ้นอยู่กับเงื่อนไขในชีวิตที่เราจะสร้างขึ้นมา ซึ่งตรงนี้ นายแพทย์ ชาตรี เจริญศิริ จากสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ สานกระบวนการต่อด้วยการพูดคุยแบบ World Cafe เพื่อให้ทุกคนได้ร่วมคิดว่า หนทางสู่การจากไปตามปรารถนานั้นจะเป็นไปได้อย่างไร อุปสรรคต่อการจากไปอย่างสงบตามที่เราปรารถนานั้น มีอะไรบ้าง
สวัสดีค่ะ
จริงอย่างที่ผู้เขียนว่าค่ะ ความตายมันอยู่ใกล้
แต่ก่อนไม่เคยพินิจพิจารณษเรื่องนี้มาก่อนเลย
คิดแต่ว่า เรายังมีเวลาอยู่เสมอ
หลังจากเข้าร่วมอบรม โครงการเผชิญความตายอย่างสงบเครือข่ายพุทธิกา
ที่จัดขึ้นที่ รพ. ศรีนครินทร์ ม.ขอนแก่น
ทำให้เข้าใจชีวิต และกระบวนความคิดหลายๆอย่าง
ตอนนี้ รู้สึกว่าได้ใช้ชีวิตแบบมีความหมาย และเข้าใจอะไร อะไร มากขึ้นค่ะ
มีคนไข้ประมาณ ๑/๑๐ เท่านั้นที่มีสติสามารถสื่อสารกับผู้อื่นได้ ใน ๑ ชม. สุดท้ายก่อนจากไป
สติทางกายภาพ ซึ่งแตกต่างจาก สติทางธรรม
ผมเชื่อว่า เราน่าจะประคองสติของเราได้ ถ้าเตรียมตัวไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ บอกคนข้างเคียงว่า เมื่อถึงเวลานั้นต้องการเสียงอะไรนำทาง
สำหรับผมเอง ถึงตอนนี้ ขอเป็น เสียงระฆังใบน้อย ที่ผมใช้เวลาทำกลุ่ม ช่วยเคาะเบาๆ ให้แว่วๆ ไม่เอาแบบดังๆ แบบสะดุ้งโหย่ง นะ
๕๕๕