ด เมื่อวันที่ 8 - 9 มิถุนายน 2552 กระผมได้เข้าร่วมโครงการพัฒนาบุคคลากรสายสนับสนุนมืออาชีพ "การพัฒนาการสื่อสารด้วยเอ็นเนียแกรม" ณ ห้องประชุม 1 อาคารบริหารและบริการคณะสหเวชศาสตร์ ผมขอชมจากใจเป็นโครงการที่ดีมาก และขอขอบคุณพี่บอย ที่ทำให้ผมได้ค้นพบตัวเอง ว่าผมเป็นเอ็นเนียแกรมสไตล์เบอร์อะไร..โดยเริ่มจากกิจกรรมแรกคือ รู้จักสไตล์เอ็นเนียแกรมของผู้เข้าร่วม..โดยวิทยากรได้ให้ทุกคนทำแบบทดสอบ ตอนแรกผมคิดไม่ออก..ว่าจะเขียนอย่างไร..ก็ใช้เวลาพอสมควร..โดยเป็นแบบทดสอบดังนี้
Warm-Up Activity
กิจกรรมต่อไปนี้ช่วยให้ท่านได้ทบทวนตัวเองเพื่อจะได้ค้นหาสไตล์ฯ ของคุณได้ง่ายขึ้น ขอให้พยายามตั้งใจทำเพื่อคุณจะได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ในการสัมมนาครั้งนี้ ไม่มีสิ่งใดถูกหรือผิด ดี/ไม่ดี กรุณาเขียนให้เสร็จแล้วส่งก่อนเวลาเบรกในช่วงเช้า
1. ฉันคือ ? ลองคิดถึงวิถีของคุณที่ผ่านมาจนกลายมาเป็นตัวตนที่แท้จริงของคุณแล้วลองอุปมาว่า เหมือนกับ อะไร และเขียนบรรยายความเป็นตัวตนดังกล่าวออกมาว่า เหมือนอย่างไร เหมือนตรงไหน (เป็นอะไรก็ได้ สิ่งมีชีสวิต นามธรรม รูปธรรม ฯลฯ) 10 บรรทัด (ผมใช้เวลานานมากหรืออาจยังไม่นิ่ง..อาจจะยังไม่มีสมาธิ..ผมยอมรับว่าผมคิดไม่ออกว่าผมเหมือนไร..แต่ผมเขียนบบรรยายก่อนแล้ว..มานึกว่าผมเหมือนอะไร..)
ตัวตนของฉันคือ.......เต่า......
ผมชอบไปเรื่อยๆ ไปไหนไปกันไม่ชอบอยู่ที่เดิม ชอบช่วยเหลือสังคม ไม่ชอบเห็นคนเจ็บปวด (ซึ่งผมได้เขียนแค่นี้...ยังไม่ถึงบรรทัดเลยครับ..)
2. เหรียญสองด้าน ทุกคนมีเรื่องที่ชอบเกี่ยวกับตัวเอง และเรื่องที่ไม่ชอบเกี่ยวกับตัวเองไม่มากก็น้อย ลงทบทวนดูตัวคุณว่า มีคุณสมบัติหรือลักษณะนิสัย ฯลฯ ที่ชอบและไม่ชอบอย่างไร
เรื่องดี" ที่คุณชอบเกี่ยวกับตัวเอง เรื่องที่คุณไม่ค่อยชอบเกี่ยวกับตัวเอง
1. ชอบช่วยเหลือสังคม 1. เป็นคนใจร้อน
2. เป็นคนรักเพื่อน 2. ขี้โมโห
3. หงุดหงิดง่าย
ค้นหาสไตล์เอ็นเนียแกรมของคุณ (รอฟังคำอธบาย)
สไตล์ฯ ที่ตรงกับฉันค่อนข้างมากเรียงจากมากไปน้อย 3 ลำดับแรก ถ้าประมาณได้ ให้น้ำหนักสำหรับแต่ละสไตล์ด้วย (รวมทั้งหมด = 100%) (หลังจากนั้นวิทยากรให้เดินดูใบเบอร์ 1 - 9 โดยติดไว้รอบร้องประชุมว่าเราเหมือนเบอร์ไหน โดยเรียงจากมากไปน้อย โดยผมได้ค้นพบดังนี้)
อันดับหนึ่ง...8....,70% อันดับสอง...7....,20% อันดับหนึ่ง...2....,10%
วันนี้ไว้แค่นี้ก่อนครับ..พรุ่งนี้ผมจะมาพูดเรื่อง แรงจูงใจ จุดแข็ง จุดอ่อนของคนสไตล์เอ็นเนียแกรมของผมต่อครับ.....
เล่าได้เยี่ยมยอดมากค่ะ.... อยากอ่านต่อ..... อยากอ่านต่อ.....
อยากให้ทุกท่านที่เข้าร่วมอบรม เขียน Blog เล่าอย่างคุณชรินทร์บ้างจัง !!
confirm เลย ค่ะว่าคุณชรินทร์ ชอบช่วยเหลือสังคม เพราะมีรถกู้ภัยขับประจำด้วย
ใครอยู่ใกล้คุณชรินทร์ จะรู้สึกอบอุ่นใจ จะรู้สึกปลอดภัย หายห่วง
ขอบคุณมากครับ ท่านคณบดี
ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ
ผมเองทำงานด้าน HR อยู่
กำลังสนใจ สำหรับประเมินพัฒนาตัวเอง และทีมงานอยู่ครับ
ขอติดตามผลงานนะครับ
* เสียดายที่ไม่มีทุนทรัพย์ สำหรับการไปอบรมฯ
หากมีแนวทางการวิเคราะห์ตัวเองได้ คงต้องขอความอนุเคราะห์ด้วยครับ
ความเห็นของผมจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่ ขอให้ท่านคณบดีช่วยตัดสินด้วย
*ผมเป็นคนนอก ม.อ.เมื่อสมัยหนุ่มเคยมีประสบการด้านพัฒนาบุคลากรมามากในฐานะผู้จัดการฝ่ายบุคคล(Personnel Management) ต่อมาเปลี่ยนเป็น HR เพราะ Personnel ได้เปลี่ยนเป็นตัว Resource โดยมี Leadership เป็นตัวขับเคลื่อน(Drive)ระบบ 3 ระบบ(Resources) ได้แก่(1)ระบบยุทธศาสตร์(Strategy Process) (2)ระบบปฏิบัติงาน(Operation Process)และ(3)ระบบบริหารคน(HR.หรือ People Process)อำนาจ Personnel Management เปลี่ยนไป..กลับกลายเป็นเพียง "ระบบResource"อันหนึ่งเท่านั้นที่ถูกบริหารโดย Leadership
มีการประกาศเปลี่ยนแปลงการบริหารอย่างใหญ่โตเมื่อปี 1978 ด้วยฝีมือ ISO โดยการสนับสนุนของ UN ที่เรียกว่า"โลกาภิวัตน์"การบริหาร(Globalizarion)เปลี่ยนจากการบริหาร"คน"มาบริหาร"ระบบ" แม้การบริหารคนยังมีอยู่ก็ต้องทำเป็นระบบ(Documented Procedures)โดยนักออกแบบระบบ Process Owner.
"ระบบ"ที่ว่านี้ คือ วิธีปฏิบัติของการบริหารที่ชัดเจน(Set of Management Practices) ดังความหมายของการบริหารสมัยใหม่ TQM มีดังนี้ "The heart of TQM is a set of management practices designed to continuous improve the performance of organization processes to profitably satisfy customers.
การบริหารทุกเรื่องต้องมี"ระบบ"เพื่อเป็นฐานในการปรับปรุงให้สามารถแข่งกับชาวบ้าน
ขอแก้ไขปี ค.ศ. การเปลี่ยแปลงการบริหารครั้งยิ่งใหญ่ของโลกที่เปลี่ยนจากการบริหารคนมาบริหารระบบเกิดขึ้นเมื่อ ค.ศ.1987 มิใช่ 1978
องค์กรใหญ่ๆในกรุงเทพฯจำนวนหนึ่งที่มองเห็นคุณค่าของการพัฒนาบุคลากรและดำเนินการพัฒนาอย่างได้ผลจริงจังและคุ้มค่า โดยพัฒนาอย่างเป็นระบบและมีการ Identify เพื่อปรับปรุงระบบ
แต่องค์กรส่วนมากเกือบ 100% ยังเห็นว่าการพัฒนาบุคลากรเป็นเรื่องการสูญเสียเงินค่าใช้จ่ายหรือเป็นแฟชั่น
ซึ่งความจริงก็เป็นเช่นนั้น เพราะการฝีกอบรมส่วนมากขาด"ระบบ"รองรับ ผลที่ได้รับคือการไปแลกเปลี่ยนความรู้กันในหรือนอกสถานที่..ผลที่ได้รับคือการส่งเสริมการท่องเที่ยวเท่านั้น
การพัฒนาบุคลากรจะทำได้ผลดีต้องเรื่มที่"การออกแบบระบบ"(System design)เพื่อใช้เป็นรากฐานในการพัฒนาปรับปรุงระบบ(Process Improvement)อันเป็นการพัฒนาที่ถูกต้องและได้ผลคุ้มค่า
ปัญหาของประเทศไทยคือปัญหาการออกแบบระบบ..เพราะองค์กรส่วนมากยังออกแบบระบบกันไม่เป็น มีนักบริหารน้อยมากที่รู้จักการใช้ประโยชน์ของ Process Owner
การพัฒนาตำแหน่ง Process Owner จึงมีความสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาบุคลากรในทุกสาขาอาชีพ ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก
การบริหารสมัยใหม่ของโลกที่เรียกว่าการบริหารคุณภาพ Quality Management หรือ TQM สร้างความสับสนที่ยากต่อความเข้าใจในสังคมไทย แต่จำเป็นต้องทำความเข้าใจให้ได้ เพราะมันหมายถึงการอยู่รอดของชาติ เนื่องจากรัฐบาลไทยยังไม่สามารถปฏิรูปการบริหารให้มีคุณภาพ
รัฐบาลสหรัฐออกกฏหมาย Public Law 100-107 ปี 1987 เพื่อสนับสนุนให้การบริหารภาคเอกชน(รวมทั้งภาครัฐบาล)ใช้การบริหารคุณภาพ โดยเห็นความจำเป็นต้องเปลี่ยน(Change)หรือปฏิรูปการบริหารโดยบันทึกแนบกฏหมาย 100-107 ว่า "คุณภาพหมายถึงความอยู่รอด"..Quality means survival
การบริหารคุณภาพไม่ยากหากจับประเด็นได้และปล่อยวางไม่ยึดติดกับการบริหารคน HR. เพระการบริหารคุณภาพเป็นการบริหาร"ระบบ" การบริหารคนก็ยังมีความสำคัญ..แต่ก็ต้องสร้างวิธีบริหารคนให้เป็น"ระบบ"
"ระบบ"ในที่นี้คือระบบวิธีปฏิบัติ(Set of management practices)เรียกชื่อแตกต่างกันไปแต่ละสังคม แต่มีความหมายเป็นระบบวิธีปฏิบัติหมือนกัน เช่น สายการเกษตรเรียกว่า G.A.P(Good Agricultural Practices) ISO. เรียก QMS.ภาคเอกชนสหรัฐและ องค์กรการเงินระหว่างประเทศ IMF.เรียกว่า Good Governance รัฐบาลสหรัฐโดยกฏหมาย 100-107 ดังกล่าวเรียกระบบนี้ว่า "มาตรฐานการปฏิบัติงานดีเลิศ"
Criteria for Performance Excellence"
การปฏิรูปการบริหารของรัฐบาลไทยให้มีการบริหารระบบต้องใช้เวลาอีกนานหลายสิบปี เพราะยังสับสนกันอยู่ เช่น รัฐบาลยังแปล Good Governance ว่า ธรรมาภิบาล สำนักนายกฯและ ก.พ.ร.ก้าวไกลกว่า แปลคำนี้ว่า การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี...หมายความว่ายังไม่รู้กันว่า "ระบบ"หรือ Set of management practices คืออะไร
ชาติไทยน่าเป็นห่วงเรื่อความอยู่รอด เพราะทั้งเขมรและเวียตนามมีความรู้เรื่อง Quality Management เป็นอย่างดี
ทำไมผมจึงให้ความสนใจ ม.อ.
ที่สนใจเพราะมีจุดเด่นเหมือน Super-man คือ กระโดดอันดับโลกได้หลายร้อยอันดับเมื่อ 2 ปีก่อนในการจัดอันดับของ Webometrics Ranking
อย่างไรก็ตาม ม.ที่สามารถทะลุต่ำกว่าอันดับ 100 (Par ของผม) เป็นมหาวิทยาลัยแรกไทยน่าจะได้แก่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในการจัดอันดับของ THE-QS ซึ่งขณะนี้จุฬาฯเฉียดพาร์แล้ว โดยอยู่ในอันดับที่ 116 เชื่อว่าต้นปีหน้า(2553)น่าจะเทิร์นโปรได้ เพราะอันดับจะต่ำกว่าพาร์ 100
ที่เชื่อเช่นนั้นเพราะจุฬาฯพัฒนาตนเองได้ถูกทางโดยเน้นที่พัฒนาการบริหาร เพราะได้เริ่มใช้มาตรฐาน Education Critetia for Performance Excellence เมื่อต้นปี 2552 THE-QS ให้คะแนนการบริหารสูงมาก เช่น Peer Review Score(40%)และ Recruiter Review เป็นต้น
สาเหตุที่อันดับโลกของจุฬาฯในอดีตอยู่ในอันดับไม่ดีมาตลอด(อันดับ 161, 223 และ 166)สาเหตุเป็นเพราะยึดติดอยู่กับมาตรฐานและการประกันคุณภาพการศึกษาแบบไทย ไทย(Thailand Educational Criteria)ที่บกพร่องเรื่องระบบ (Set of management practices) เนื่องจากการศึกษาของประเทศไทยยังไม่รู้จักนักออกแบบระบบ Process Owner ที่เป็นผู้ออกแบบระบบ(System design)ที่ได้มาตรฐาน