ศิลาอ่านหนังสือเล่มหนึ่งมาน่าสนใจค่ะ ชื่อเรื่อง “การพัฒนาที่ยั่งยืน” (Sustainable Development) โดยพระพรหมคุณากรณ์ (ป.อ. ปยุตโต) …เรียนตามตรงว่าช่วงนี้เวลามีค่ามาก การเลือกอ่านหนังสือสักเล่ม จะต้องคิดแล้วคิดอีกว่าอ่านไปเพื่ออะไร…หนังสือทุกเล่มมีคุณค่ามีความหมาย แต่ที่ตั้งคำถามในใจนี้ ก็เพื่อจัดลำดับความสำคัญก่อนหลังประกอบกับการใช้เวลาที่เพียงพอเพื่อการไตร่ตรองความรู้ที่ได้จากหนังสือเล่มนั้นค่ะ
หากอ่านเพื่อความบันเทิง…เราเครียดและต้องการผ่อนคลายใช่หรือไม่
หากอ่านเพื่อเพิ่มพูนความรู้…เราจะนำไปใช้ประโยชน์อะไรในตอนนี้
คำตอบสำหรับการอ่านหนังสือ “การพัฒนาที่ยั่งยืน” ก็คือจะนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันของตัวเองค่ะ…และเห็นว่าน่าจะมีประโยชน์แก่กัลยาณมิตร จึงนำมาเล่าสู่กันฟัง
หนังสือเล่มนี้มีความลึกซึ้งอย่างมากมีทั้งหลักธรรม และหลักเศรษฐศาสตร์แทรกซึมเกือบทุกถ้อยคำ โดยเฉพาะบางประเด็นมีความเป็นนามธรรมที่ยากแก่การอธิบายให้เห็นภาพ จึงขอกล่าวเฉพาะประเด็นที่เป็นรูปธรรมและนำมาปฏิบัติได้
ศิลาอ่านพบประเด็นเรื่องการเสพบริโภคสิ่งต่าง ๆ มีอยู่ 2 ประเภท ได้แก่ การเสพบริโภคด้วยตัณหา กับการเสพบริโภคด้วยปัญญา
การเสพบริโภคด้วยตัณหาดูเหมือนว่าสังเกตเห็นได้ไม่ยาก ตัวอย่างเช่น
การทานอาหารเพราะรสชาติอร่อย มีราคาโดยไม่คำนึงคุณค่าทางอาหาร
การซื้อของมียี่ห้อเพื่ออวดโชว์กัน (มานะ) ซื้อสิ่งของฟุ่มฟื่อยมาใช้สอยโดยไม่จำเป็น
การเสพบริโภคด้วยปัญญาโดยใช้โยนิโสมนสิการ คือการกินพอดี การบริโภคพอดี เรียกว่า โภชเนมัตตัญญุตา โดยตั้งอยู่บนฐานของการพิจารณารู้ถึง คุณค่าแท้-คุณค่าเทียม
การเสพบริโภคด้วยปัญญาดังกล่าวข้างต้นนี้ สำหรับศิลาแล้ว เป็นเรื่องที่อยู่ภายในของแต่ละบุคคล เปรียบเสมือนการปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันของแต่ละบุคคลว่าขณะที่จะเสพบริโภคนั้น ได้ผ่านการไตร่ตรองอย่างแยบคายแล้วหรือยัง
เพื่อให้เห็นภาพของการเสพบริโภคเช่นว่านี้ขอยกตัวอย่างที่ปรากฎในหนังสือเล่มนี้ดังนี้ค่ะ
พระสูตรท่านเล่าไว้ว่า พระเจ้าแผ่นดินชื่อพระเจ้าอุเทน ตอนนั้นไม่ค่อยนับถือศาสนาพุทธ คราวหนึ่งมีการถวายผ้าจีวรให้แก่พระอานนท์ตั้ง 500 ผืน พระเจ้าอุเทนคงทรงคิดว่าพระนี้โลภ จะเอาไปทำไมตั้งมากมาย จึงตรัสถามพระอานนท์ว่า
ผ้านี้ท่านจะเอาไปทำไมมากมาย ท่านจะปฏิบัติอย่างไรกับผ้าเหล่านั้น
พระอานนท์ก็ทูลตอบว่า
จะนำไปแจกจ่ายให้แก่พระที่ขาดแคลนผ้า
พระอุเทนก็ตรัสถามต่อไปว่า
เมื่อได้ผ้าใหม่มาแล้ว ผ้าเก่าท่านจะทำอย่างไร
พระอานนท์ก็ทูลตอบว่า
ผ้าเก่าที่เลิกห่มแล้ว ก็เอาไปทำเป็นผ้าดาดเพดาน ถ้ามันเก่าขึ้นไปอีกท่านก็เอาไปใช้เป็นผ้าปู ผ้าห่อของอะไรต่ออะไรเรื่อยไป จนกระทั่งในที่สุดก็เป็นผ้าขี้ริ้ว
ต่อจากผ้าขี้ริ้ว พระอานนท์ยังไม่หยุด ท่านจะเอาไปบดตำ สมัยก่อนเขาใช้ผสมดินดังที่อินเดียปัจจุบันก็ยังใช้อยู่ คือเอาดินเป็นส่วนผสมแล้วก็ทาฝาผนัง
พระเจ้าอุเทนได้ทรงฟังคำชี้แจงก็ทรงเลื่อมใสว่า
พระอานนท์มีความคิดประหยัดดีเหลือเกิน ไม่ใช่จะฟุ่มเฟือย ก็เลยถวายผ้าจีวรเพิ่มขึ้นอีก อันนี้เป็นตัวอย่างของ reuse คือการรู้จักใช้สิ่งที่ใช้แล้วให้เป็นประโยชน์ต่อไปอีก
หลังจากอ่านเรื่องนี้แล้วศิลาจะซื้อหรือบริโภคอะไรก็แล้วแต่ จะสังเกตตัวเองอย่างมีสติ...พิจารณาถึงคุณประโยชน์ที่จะได้…ฟังดูเหมือนง่ายนะคะ …หลายครั้งเลยค่ะที่ต้องต่อสู้ระหว่างธรรมะกับอธรรมในใจ ของบางอย่างเราอยากได้มาก มองแล้วมองอีก เพ่งพิจารณาคุณค่าและมองกลับมาดูความอยากของตนเองหลายครั้งหลายครา…ก้าวเท้าออกมาจากร้านแล้ว ใจยังโหยหา…จึงกำลังฝึกฝนตนเองอย่างค่อยเป็นค่อยไปอยู่ค่ะ…
ข้อค้นพบที่ได้จากการอ่านหนังสือนี้นอกจากทำให้ศิลาพยายามฝึกสติในการเสพบริโภคแล้ว ยังมองเห็นว่าการพัฒนาที่ยั่งยืน สุดท้ายแล้วก็เป็นเรื่องของภายในเราเอง ธรรมชาติของเรา เราสามารถ "รู้" และ "ละ" ได้ หรือ ดัดธรรมชาติของเราให้ไปในทางที่ถูกที่ควรได้
หากนำไปปฏิบัติได้จริง การเป็น "หนี้" ในครัวเรือนก็ลดลง ส่งผลดีต่อสังคมโดยรวมค่ะ
กัลยาณมิตรท่านใดอ่านแล้ว มีความเห็นว่าอย่างไร แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้นะคะ
ขอบพระคุณที่มาแวะมาเยี่ยมเยียนค่ะ
ศิลาขอเพิ่มเติมข้อมูล หากกัลยาณมิตรท่านใดสนใจตัวอย่างการเสพบริโภคด้วยปัญญา (ปัญญาปฏิบัติตัวจริงเสียงจริง) แวะไปอ่านได้ตาม link ต่อไปนี้ค่ะ
- http://gotoknow.org/blog/wasawatdeemarn/265341
เรื่อง "รถยนต์" เครื่องวัดหน้าตาและฐานะทางสังคมของครูมหาวิทยาลัย จาก Blog “บันทึกความดี..ความคิดชั่ว” โดยท่านอาจารย์ wasawat deemarn
เจริญพร โยมศิลา
อาตมาได้อ่าน เรื่องเมื่อเราลองงดซื้อ จากนิตยสารสรรสาระ
ผู้เขียนบอกว่า คนส่วนใหญ่มีสิ่งของมากมายเกินความต้องการอยู่แล้ว
และสิ่งของส่วนมากแล้วมักซื้อเก็บไว้เป็นที่ระลึกโชว์เพื่อนๆ
ยุคนี้อาตมาเห็นว่าเราๆท่านๆต่างตามกระแสบริโภคนิยมกันอย่างไม่ลืม
หูลืมตา ทีวีก็โฆษณาแต่สินค้าตลอด 24 ชั่วโมง
เจริญพร
ตัวอย่าง รียูส เรื่องพระอานนท์ ดีมากเลยคะ ขอบคุณคะ
ผมว่าเราถูกล้างสมองโดยโทรทัศน์ด้วยส่วนหนึ่ง
อยากให้บริษัทโฆษณารับทำ สปอตชุดนี้ แทน โฆษณารักแร้ขาว จังเลยครับ
สวัสดีค่ะ
เริ่มเห็นคุณค่าการบริโภคแบบพอเพียงเมื่อ 4-5 ปีที่ผ่านมา
คิดและมีสติก่อนซื้อบริโภค...ดีจริงๆค่ะ
ขอบคุณบันทึกดีมีประโยชน์
สวัสดีค่ะอาจารย์ศิลา
ขอบคุณที่นำเรื่องที่อ่านมา สรุปให้อ่านเข้าใจง่ายๆขึ้นนะคะ
ขอบคุณความพอเพียง
สวัสดีค่ะ
สวัสดีครับอาจารย์ ตามปกติจะไปคุยกับเพ็ญอย่างน้อยเดือนละครั้ง..คุยเรื่องสัพเพเหระ..สิ่งที่ถามไถ่ทุกครั้งที่ไปพบคือ ยังบันทึกรายจ่ายอยู่หรือไม่..ได้ความว่ายังบันทึกอยู่ทุกวัน...(จดทุกครั้งที่จ่าย..ถ้าไม่จดก็คงลืม )......หวังว่า เมื่อนำมาทบทวนคงจะทำให้ " รู้ " และ " ละ "..ได้ตามที่อาจารย์ว่า ครับผม
สวัสดี ครับ คุณ sila
หนังสือเล่มนี้...ผมไม่เคยอ่าน
แต่ได้อ่านภาษาที่คุณ sila ถ่ายทอดแล้ว
รู้สึกถึงการพัฒนาที่ยั่งยืน ผ่านตัวคุณ sila
....ตระหนักเพิ่มขึ้น รู้เพิ่มขึ้น....
ที่สำคัญจะนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างไร? ...เป็นประเด็นที่สำคัญมาก ๆ ที่ทำให้หนังสือเล่มนี้เกิดประโยชน์สูงสุด...
เป็นอีกหนึ่งบันทึก ที่ถ่ายทอด ผ่านชุมชน online แล้ว รู้สึกว่า...ปลุกจิตสำนึกของสังคมเพิ่มขึ้น จริง ๆ ครับ
...
มาด้วยความระลึกถึง คุณ sila เช่นเคย...