จินตนาการสำคัญกว่าความรู้
Imagination is more important than knowledge.
อัลเบิร์ต ไอสไตน์ (Albert Aistein)
บล็อกนี้ ผมต้องการเสนอองค์ความรู้เกี่ยวกับจินตภาพแบบวิชชาธรรมกาย (Thammakai Imagery) โดยมีวัตถุประสงค์หลายประการ ประการแรกที่นึกได้ในตอนนี้ก็คือ ต้องการให้เป็นหลักฐานว่า ผมเองเป็นผู้พัฒนาจินตภาพแบบวิชชาธรรมกาย (Thammakai Imagery) นี้ขึ้น
บางท่านอาจจะสงสัยว่า เป็นหลักฐานเกี่ยวกับอะไร?
ขออธิบายว่า องค์ความรู้ ทฤษฎี ฯลฯ ต่างๆ ที่เราคิดขึ้น ถ้าเราไม่เขียนให้เป็นหลักฐานในที่สาธารณชนไว้ เราเผยแพร่ไปเรื่อยๆ แบบไม่เป็นวิชาการ ถ้ามีบุคคลอื่นนำองค์ความรู้หรือทฤษฎีที่ว่านั้น เผยแพร่ในที่สาธารณะก่อน ลิขสิทธิ์ต่างๆ จะตกเป็นของผู้นั้นในทันที
ทำไมจะต้องมี “จินตภาพแบบวิชชาธรรมกาย (Thammakai Imagery)”
จากการออกไปสอนการปฏิบัติธรรมแบบวิชชาธรรมกายในที่ต่างๆ การอบรมการปฏิบัติธรรม และทำวิจัย ผมมีปัญหามากมายกับข้อสงสัยของผู้ที่ไม่เชื่อ ยกตัวอย่างเช่น นักเรียนเห็นจริงๆ หรือเปล่า นักเรียนโกหกหรือเปล่า คิดไปเองหรือเปล่า สะกดจิตหรือเปล่า ฯลฯ เป็นต้น
ที่เป็นปัญหามากที่สุดก็คือ ผมเคยทำวิจัยเรื่อง “ผลของการปฏิบัติธรรมสายวิชชาธรรมกายที่มีต่อความฉลาดทางอารมณ์และการใช้เหตุผลเชิงจริยธรรมของนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน” ผลของการวิจัย พบว่า การปฏิบัติธรรมสายวิชชาธรรมกายพัฒนาความฉลาดทางปัญญา (IQ) ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) ได้ แต่พัฒนาการใช้เหตุผลเชิงจริยธรรม (moral reasoning) ไม่ได้
กลุ่มตัวอย่างมี 58 คน มีผลของการปฏิบัติธรรมดังนี้
1) จิตสงบ จำนวน 2 คน คิดเป็นอัตราร้อยละ 3.45
2) เห็นดวงปฐมมรรค จำนวน 18 คน คิดเป็นอัตราร้อยละ 31.03
3) เห็นกายธรรมพระโสดา จำนวน 28 คน คิดเป็นอัตราร้อยละ 48.28
4) เห็นกายธรรมพระสกิทาคามี จำนวน 6 คน คิดเป็นอัตราร้อยละ 10.34
5) เห็นกายธรรมพระอนาคามี จำนวน - คน คิดเป็นอัตราร้อยละ -
6) เห็นกายธรรมพระอรหัต จำนวน 4 คน คิดเป็นอัตราร้อยละ 6.90
กลุ่มตัวอย่างสามารถปฏิบัติธรรมในสายวิชชาธรรมกายได้ผลจริง คือ เห็นดวงธรรม และกายธรรมคิดเป็นร้อยละ 31.03 และ 65.52 ตามลำดับ รวมเป็นผู้เห็นดวงธรรมและกายธรรม คิดเป็นร้อยละ 96.55 มีกลุ่มตัวอย่างที่ทำได้แต่เพียงจิตสงบเพียงร้อยละ 3.45 เท่านั้น
ผมได้ส่งงานวิจัยดังกล่าวเพื่อเข้า “การประชุมทางวิชาการ การวิจัยทางการศึกษาระดับชาติ ครั้งที่ 12” ซึ่งประชุมกันเมื่อ 15-16 พฤศจิกายน 2550 ที่ผ่านมา ณ โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ กรุงเทพฯ
คณะกรรมการก็รับงานวิจัยของผมเพื่อเข้าร่วมประชุม แต่ในหนังสือรายงานการประชุมทางวิชาการดังกล่าว ได้ตัดผลการวิจัยส่วนที่เป็นการรายงานว่า กลุ่มตัวอย่างเห็นดวงธรรมและกายธรรมออกไป
ก็แสดงว่า กรรมการของการประชุมฯ เห็นว่า งานวิจัยน่าสนใจ แต่รับไม่ได้ว่า ในการปฏิบัติธรรมจะเห็นดวงธรรมและเห็นกายธรรม
ดังนั้น ผมจึงเห็นว่า ถ้าผมตีความการปฏิบัติธรรมแบบวิชชาธรรมกายในระดับเบื้องต้น[1] ให้เป็นการฝึกจินตภาพ น่าจะยอมรับกันได้ในทางวิชาการ เพราะ การฝึกจินตภาพกำลังเป็นที่นิยมศึกษาและนำไปใช้ประโยชน์กันมากในปัจจุบันนี้
ประโยชน์อีก 2-3 ประการก็คือ เมื่อมีการพัฒนาการปฏิบัติธรรมแบบวิชชาธรรมกายในระดับเบื้องต้น ให้เป็นการฝึกจินตภาพ การฝึกจินตภาพแบบวิชชาธรรมกายก็จะสามารถนำไปใช้ในทุกเชื้อชาติและศาสนา ก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมโลกขึ้นอีกด้วย
...........................
อ้างอิง
[1] ขออธิบายเพื่อป้องกันการเข้าใจผิดว่า ผมไม่ได้ตีความการฝึกปฏิบัติธรรมแบบวิชชาธรรมกายทั้งหมดให้เป็นการฝึกจินตภาพ ที่นำมาตีความและนำไปสอนนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการฝึกเบื้องต้นเท่านั้น ซึ่งจะเป็นส่วนไหน เท่าใดจะได้อธิบายต่อไป
ขอย้ำอีกหน่อยว่า ในการตีความครั้งนี้ไม่ได้ดัดแปลงเนื้อหาคำสอนของวิชชาธรรมกายที่หลวงพ่อวัดปากน้ำสอนไว้แต่อย่างใด เป็นเพียงตีความและปรับปรุงเทคนิคการสอนบางประการที่เป็นเบื้องต้นเท่านั้น
ประการสำคัญก็คือ ผมได้ขออนุญาตกับหลวงพ่อวัดปากน้ำแล้ว หลวงพ่อวัดปากน้ำ บอกว่า “ถ้าผมเห็นดีเห็นงานอย่างไร ก็ทำไปได้เลย” แต่วิธีการที่ผมไปขออนุญาตหลวงพ่อวัดปากน้ำ และหลวงพ่อวัดปากน้ำตอบมาอย่างนั้น ผมมีวิธีการทำอย่างไร ผมขออนุญาตไม่นำเสนอมาไว้ ณ ที่นี้ เพราะ เท่าที่ผมมีประสบการณ์ การอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อหวังดีต่อประชาชน ในบางครั้งผลที่ได้รับกลับมา กลับเป็นโทษเสียอีก
ดังนั้น เรื่องบางเรื่อง ผมจึงไม่ขออธิบายไว้ ดังเช่นเรื่องดังกล่าวนี้เป็นต้น
ไม่มีความเห็น