ผมมีภารกิจต้องเข้าประชุมที่กรุงเทพฯ เลยได้ใช้บริการรถโดยสารประจำทาง ซึ่งเป็นรถปรับอากาศชั้น 1 รู้สึกแปลกๆเหมือนกันเพราะนานพอสมควรที่ไม่ได้ใช้บริการ จากที่ผ่านมาไปมาด้วยการขับรถด้วยตนเอง ดูตารางเวลาแล้วต้องใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมง ดังนั้นโจทย์สำคัญคือนั่งนิ่งๆบนรถที่วิ่งเราจะทำอะไร
ระหว่างเดินทางก็ดูวิวทิวทัศน์ข้างทาง คิดอะไรหลายอย่าง และฉุกคิดได้ว่า เราเป็นคนบ้านนอก คุ้นเคยกับการใช้รถโดยสารประจำทางมาตั้งแต่เด็กๆ บ้านผมเรียกว่า รถคอกหมู เพราะเป็นพาหนะเดียวที่นำผู้คนในชุมชนให้ออกไปชื่นชมโลกภายนอก ซึ่งเสบียงสัมภาระทุกอย่างจะถูกบรรจุไว้ในรถคันเดียว บางครั้งพวกผู้ชายต้องขึ้นไปนั่งบนหลังคารถ
บรรยากาศการเดินทางจะสนุกสนาน มีการพูดคุย ทักทาย ถามไถ่ เพื่อนพ้องน้องพี่ต่างหมู่บ้านที่โดยสารมาในรถคันเดียวกัน บ่อยครั้งที่รถต้องจอดรอบางคนที่เดินอยู่กลางทุ่ง บ่อยครั้งที่พวกผู้ชายต้องลงไปช่วยกันเก็บข้าวของเพื่อนร่วมทางคนใหม่ขึ้นรถ ภาพแบบนั้นยังติดตาผมตลอดมา
แต่บรรยากาศบนรถโดยสารครั้งนี้กลับดูเคร่งเครียด ไม่มีการทักทาย ไม่มีบรรยากาศแบบรถคอกหมู ทุกอย่างดูแข็งกระด้าง ทุกคนดูเหมือนต้องระแวดระวังอะไรบางอย่าง ซึ่งก็คล้ายๆกันกับการประชุมของหน่วยงานราชการทั่วไปที่ดูเคร่งเครียดและแข็งกระด้างมากขึ้นทุกที
คิดเล่นๆเราคงไม่โทษใคร แต่เราต้องเริ่มที่ตัวเอง ในทัศนะผมเห็นว่า สังคมไทยจะอยู่ได้ด้วยวัฒนธรรมไทย ไม่ใช่เป็นคนไทยแต่หัวใจเป็น….. เช่นทุกวันนี้
...นั่งรถเมล์กลับมากรุงเทพ..ด้วยรถประจำทาง..แสนจะโก้เพราะเขาบอกว่ามีWCด้วย..ปรากฎว่าฝนตกระหว่างทาง..ปรากฎว่าน้ำฝนรั่วหล่นลงหัว..ตอนที่เลือกที่นั่งกระเป๋ารถมาบอกว่าที่ๆนั่งเลือกไว้นั้นฝนรั่ว..เขาเตือนแต่เรานึกภาพไม่ออก..จนฝนตกและน้ำเปียกหัวจึงนึกภาพออก...คิดเล่นๆว่า..เขาเตือนแล้วยังไม่เชื่อ..อิอิรถเมล์คนละคันกัน...
อาจารย์คิดได้ไง ... เรานั่งทุกอาทิตย์ยังคิดไม่ได้เลย ยอดมาก ๆ
รถบางคันก็เก่าจนรั่วนะคะอาจารย์ ถึงพยายามอย่างไรเราก็เป็นแค่ประเทศที่กำลังพัฒนาอยู่ดี(ความจริงก็เป็นประเทศด้อยพัฒนานั่นแหละแต่เรียกให้สุภาพ กำลังพัฒนา ) ในเมื่อการศึกษาของเรายังไม่ชัดเจนว่าจะเดินไปอย่างไรเราก็คงต้องเป็นแบบนี้อยู่เรื่อยไป ไม่รู้ว่าเราจะผลิตคนให้รับใช้ระบบ หรืออยู่นอกระบบ ยัง งง งง
จากศิษย์