ปฏิวัติจริยธรรมทางสังคมจากภายใน
บทความจาก http://www.semsikkha.org/
การศึกษาธรรมะ คือ การทำความเข้าใจหลักการและวิถีปฏิบัติ
เพื่อจะทำให้เราได้เข้าใจสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิต
ชีวิตอันรายรอบไปด้วยความไม่แน่นอน ความเปลี่ยนแปลง ความขัดแย้ง
ความเห็นที่หลากหลาย เกิดเป็นความบีบคั้นอันแสนโกลาหล
ความโกลาหลที่ว่านี้มักจะถูกมองเป็นเรื่องเลวร้าย
เพียงเพราะแรงต่อต้านของอัตตา
อันเป็นความพยายามที่จะรักษาแบบแผนที่เคยชินของความคิด ความเชื่อ
และวิถีชีวิตเดิมๆ ที่เราใช้ในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
อะไรที่อยู่นอกกรอบการควบคุม
ไม่สอดคล้องกับความคาดหวังของตัวตนอันคับแคบ มักถูกตัดสินว่าเป็นปัญหา
กลายเป็นปมความทุกข์ที่เราไม่สามารถเข้าไปเผชิญกับมัน
การศึกษาธรรมะจะนำมาซึ่งความเข้าใจที่ถูกต้องว่า
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ความไม่แน่นอนของชีวิต
แต่อยู่ที่จิตใจอันคับแคบที่เต็มไปด้วยความกลัวต่อการเรียนรู้ต่างหาก
ความเข้าใจทางหลักการเพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ
หนทางที่จะพาเราให้สามารถเข้าไปเผชิญต่อประสบการณ์ใหม่ๆ
ของชีวิตทั้งภายในและภายนอกได้อย่างไม่มีเงื่อนไข ก็คือ
การได้ฝึกฝนจิตใจ ปฏิบัติภาวนา
ฝึกใจให้ผ่อนพักอยู่ในพื้นที่ว่างแห่งการเรียนรู้ภายใน
อย่างปราศจากอคติและความยึดมั่นถือมั่น
จิตใจที่ว่างแสดงถึงความพร้อมต่อการเรียนรู้ชีวิตในทุกขณะ
จะนำมาซึ่งการมองความคิดเห็นอันหลากหลายที่ดูแสนโกลาหล
เป็นโอกาสแห่งการพัฒนาตัวเอง เรียนรู้ที่จะรับฟัง สื่อสาร ปฏิสัมพันธ์
บนพื้นฐานของปัญญา จนกลายเป็นการเปลี่ยนแปลงภายในในตนเองโดยสมบูรณ์
(inner transformation)
หากเราไม่ให้ความสนใจกับการปฏิบัติภาวนา
การศึกษาธรรมะหรือแม้แต่การที่ได้ชื่อว่าเป็นชาวพุทธ
ก็ไม่ได้มีความหมายอะไรเลยแม้แต่น้อย
เพราะเราไม่ได้ให้ความสนใจที่จะฝึกฝนเพื่อการพัฒนาตนเอง
แต่กลับใช้ธรรมะ หรือพุทธศาสนา เป็นเพียงเกราะกำบัง
สร้างภาพของความเป็นคนดีมีศีลธรรมอย่างผิวเผิน
วิถีพุทธที่แท้ คือกระบวนการฝึกฝนตนเองอย่างต่อเนื่อง
หากเรามองข้ามการภาวนา เอาแต่ศึกษาธรรมะจากตำรับตำรา
แม้จะท่องจำพระไตรปิฏกจนขึ้นใจได้ก็ตามที ผลก็คือ
เราจะกลายเป็นเพียงคนที่คิดว่าตัวเองรู้ดีกว่าคนอื่น
สามารถตัดสินคนอื่นว่าดีเลวจากหลักความเชื่อ
หรือปรัชญาทางศาสนาที่เราศึกษา “ฉันถูกคนเดียว คนอื่นผิดหมด”
จนมองความหลากหลายทางความคิด
หรือความขัดแย้งทางหลักการเป็นเรื่องไม่พึงปรารถนา
และนั่นคือสัญญาณของมิจฉาทิฐิ
แทนที่เราจะได้เดินบนเส้นทางของการพัฒนาตนเอง
เรากำลังเลือกเดินบนทางเบี่ยงทางจิตวิญญาณ (spiritual bypassing)
ใช้พุทธธรรมเป็นข้ออ้างเพื่อหลีกเลี่ยงกับการเผชิญความคับแคบด้านใน
เอาแต่ไปมองคนอื่น ตัดสินคนอื่นอย่างเสียๆหายๆ การที่พร่ำบอกคนอื่นว่า
“ฉันเป็นชาวพุทธ ฉันเป็นคนดีมีธรรมะ ฉันศรัทธาในพุทธศาสนา”
หาได้มีความหมายอะไรนอกเสียจาก
การแสดงถึงมิจฉาทิฐิของตัวตนทางจิตวิญญาณ
อันเป็นความคับแคบแบบใหม่ที่ใช้ครอบตัวตนอันเดิมไว้
สถานการณ์ของบ้านเมืองที่แสดงถึงวิกฤตทางจริยธรรม
ได้ส่งสัญญาณร้ายให้เราได้เห็นว่า
ความเป็นพุทธที่เราคิดว่าสุดเลอเลิศนั้น
หาได้มีคุณค่าและความหมายใดๆทั้งสิ้น
มันกลับกลายเป็นอดีตแสนหวานที่ขัดแย้ง
ต่อความเป็นจริงของสภาพสังคมไทยในปัจจุบัน
เริ่มจากความรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ทางภาคใต้
การเลือกปฏิบัติอย่างไร้ความเคารพในความหลากหลายทางเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์
การดูถูกศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชนจากภาครัฐ การคุกคามสื่อ
ริดรอนอิสรภาพทางความคิดเห็นอันหลากหลายของประชาชน แม้แต่เรื่องเล็กๆ
อย่างดาราดังตั้งครรภ์ก่อนสมรส
ที่สังคมต่างไปประณามตัดสินราวกับเธอเป็นอาชญากร
ไล่มาจนถึงประเด็นใหญ่ที่สุด
ในเรื่องความไร้จริยธรรมอย่างเลวร้ายของผู้นำที่ประวัติศาสตร์ชาติไทยต้องจารึกไว้
ทุกเหตุการณ์สะท้อนให้เห็นถึงเหตุปัจจัยในสังคม
ที่นับวันยิ่งมีแต่แนวโน้มการเมินเฉยในเรื่องของศีลธรรม
อันเป็นสัญญาณถึงความเสื่อมถอยของรากฐานทางจิตใจอย่างถึงที่สุด
การบูชา “เงิน” “ความสำเร็จ” “การพัฒนาทางวัตถุ” “เทคโนโลยี”
“ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ” “การก้าวทันโลก”
ได้พาสังคมไทยมาสู่จุดที่มันควรจะเป็น
อย่างที่ไม่สามารถปัดความรับผิดชอบไปที่ตัวผู้นำเพียงคนเดียวได้
การไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้จักพอ ขาดความละอาย ไร้หิริโอตตัปปะ
เป็นสิ่งที่เราทุกคนจะต้องรับผิดชอบร่วมกัน
อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้เขียนบทความเรื่อง
“วัฒนธรรมคนอย่างทักษิณ” แสดงทัศนะทางการเมืองที่ว่า
สิ่งที่สังคมไทยต้องเรียนรู้จากวิกฤตการณ์ครั้งนี้ ไม่ใช่ “ทักษิณ”
แต่เป็น “คนอย่างทักษิณ” ต่างหาก อีกนัยหนึ่งอาจกล่าวได้ว่า
ความเป็นผู้นำอย่างทักษิณนั้น
เป็นเพียงความสุกงอมของเหตุปัจจัยที่มีอยู่ในสังคมไทย
ซึ่งการขจัดผู้นำออกไปนั้นไม่ได้หมายถึงการแก้ปัญหาจริยธรรมทางสังคมที่ยั่งยืนแท้จริงแต่อย่างใด
เราทุกคนจะต้องทำความเข้าใจถึงเหตุปัจจัยของความโลภ ไม่รู้จักพอ
ความโกรธเกลียด ฉลาดแกมโกง ที่เราต่างก็มีอยู่ภายใน
และใช้โอกาสนี้เพื่อการเรียนรู้เปลี่ยนแปลงตน
ไม่ให้ตกเป็นทาสของกิเลสตัณหาที่ผู้นำประเทศได้สอนสะท้อนให้เราได้รู้สึกละอายกันโดยถ้วนหน้า
การเปลี่ยนแปลงหรือการปฏิรูปสังคม( social transformation)
คงเป็นเพียงเรื่องนามธรรมหลอกๆ
หากเรายังมองมันเป็นเพียงหลักการวิธีคิดภายนอก
อย่างที่ไม่มีวิถีทางของการปฏิบัติภายในเอาเสียเลย
ความวุ่นวายของบ้านเมืองที่เกิดขึ้น ณ
ขณะนี้ได้สะท้อนถึงวิกฤตการณ์ทางจริยธรรมที่ต้องการการเรียนรู้และเปลี่ยนแปลงภายใน
( inner transformation) ในระดับปัจเจกบุคคลอย่างเร่งด่วนที่สุด
ไม่ว่าใครจะมองพื้นฐานของการภาวนา บ่มเพาะปัญญา ด้วยหนทางแห่งจิตสิกขา
เป็นเรื่องอุดมคติล้าสมัย ไร้ความเป็นไปได้จริง
แต่ด้วยสถานการณ์ที่รัฐนาวาใกล้จะอับปางลง จากมรสุมที่รุมเร้า
ความเน่าเฟะรอบด้านที่รอการปฏิรูป ทั้งภาคการศึกษา ศาสนา การเมือง
สังคม และวัฒนธรรม ก็น่าจะถึงเวลาที่เราทุกคนควรจะหันกลับมามองตนเอง
ร่วมสร้างปรากฏการณ์ของการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงภายใน
ใส่ใจกับรากฐานทางปัญญา ให้คุณค่าทางศีลธรรมและจริยธรรม
จนเกิดเป็นการปฏิวัติทางจิตวิญญาณของสังคมไทยอย่างยั่งยืน
จิตตปัญญาศึกษา หรือการภาวนาเรียนรู้ด้านใน
จะเป็นพื้นฐานที่สำคัญของการรับฟังและเรียนรู้จากผู้อื่น
หยุดความคิดที่ว่าตัวเองรู้ดีในทุกเรื่อง
ละเลิกความคิดของความเป็นอัศวินขี่ม้าขาวที่มีความสำคัญเหนือคนธรรมดา
คุณค่าของคนไม่ใช่อยู่ที่ความสำเร็จฟู่ฟ่า แต่อยู่ที่การเรียนรู้
รู้ที่จะสัมผัสชีวิตของตนเองและผู้อื่นอย่างจริงใจ
จนความเมตตากรุณาที่แท้จริงบังเกิดขึ้นจากภายในบนพื้นฐานของปัญญาตระหนักรู้
การภาวนาเป็นกระบวนการที่ทำให้เรารู้จักตั้งคำถามอย่างถึงราก
ถึงกระบวนทัศน์ วิธีคิด วิถีการดำรงชีวิต
ที่จะต้องตั้งอยู่บนความพอเพียง แต่ความพอเพียงจะเกิดขึ้นได้
ก็ต่อเมื่อเราจะตระหนักถึงความเต็มทางจิตวิญญาณที่มีอยู่แล้วในตน
นำศักยภาพนั้นไปเรียนรู้จากคนรอบข้างอย่างอ่อนน้อม
เผชิญความเป็นจริงอย่างง่ายงาม
สอดคล้องสมดุลตามเหตุปัจจัยรายรอบ
คุณค่าของสังคมพุทธคือความตื่น และความตื่นจะเกิดขึ้นได้
ก็ด้วยจิตใจที่เปิดกว้างต่อการเรียนรู้
ข้ามพ้นกำแพงความคับแคบของความยึดมั่นทางความคิด
ระบบใดที่หลับใหลจะค่อยๆ
กลายเป็นโครงสร้างอันเลวร้ายของอำนาจและความรุนแรง เช่น
การมีผู้นำอย่างเผด็จการ มีพรรคการเมืองพรรคเดียว
กลุ่มคัดค้านถูกประณามเป็นพวกมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ
ประชาชนเดินขบวนเรียกร้องการตรวจสอบก็ถูกมองเป็นกุ๊ยข้างถนน ฯลฯ
แต่ระบบใดที่รู้จักการเรียนรู้ รับฟัง เพื่อเปลี่ยนแปลง ปรับเปลี่ยน
ก็จะเป็นระบบที่ตื่น ที่ทุกคนได้มีส่วนร่วมให้คุณค่าและความหมาย
แต่ละปัจเจกบุคคลต่างทำหน้าที่ของตนด้วยใจที่เปิดกว้าง
แลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างตรงไปตรงมา ไม่จำเป็นต้องใช้เล่ห์เหลี่ยม
กลยุทธ์ในการปิดหู ปิดตา ปิดปากผู้คนอย่างที่เป็นอยู่
เมื่อความหลากหลายทางความคิดไม่ถูกมองเป็นเนื้อร้ายที่ต้องถูกกำจัด
ผู้คนรู้จักใช้ใจที่เปิดกว้างรับฟัง
แลกเปลี่ยนแสดงความคิดเห็นเพื่อการตรวจสอบ
เพื่อประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง
สังคมก็จะเป็นสังคมที่ตื่นอยู่เสมอ แต่ก่อนที่สังคมจะตื่นได้
ภาวะแห่งความตื่นจะต้องเริ่มขึ้นที่ปัจเจก
ผู้คนต้องรู้จักฝึกฝนพัฒนาตนจนค้นพบศักดิ์ศรีและคุณค่าภายในอย่างเต็มภาคภูมิ
จากนั้นจึงเกิดการถักทอจากหน่วยเล็กๆ อย่างเป็นธรรมชาติ
เกิดเป็นเป็นเครือข่ายของการเรียนรู้
เติบโตงอกงามขึ้นเป็นประชาธิปไตยในธัมมิกสังคม
บนพื้นฐานของความเคารพซึ่งกันและกันของผู้คนในสังคมอย่างแท้จริง
ไม่มีความเห็น