เราพบเพื่อนคนหนึ่งในตลาด ดูหน้าตาเขาเครียด ไม่ค่อยยิ้มแย้ม คุยไปๆ ก็รู้ว่า เขาไม่ค่อยมีเงิน เนื่องจากถูกออกจากงาน เหมือนๆกันกับเพื่อนบ้านของเราบางคน ที่มีพฤติกรรมคล้ายๆกัน เนื่องจากถูกออกจากงาน สอดคล้องกับข่าวสารทางวิทยุโทรทัศน์ที่ออกข่าวอยู่ทุกคืนว่าเศรษฐกิจของบ้านเมืองและของโลกกำลังฝืด ผลจากการสังเกตเหล่านี้ ทำให้เราสงสัย คิด แต่หาคำตอบที่แน่นอนไม่ได้ จึงเป็นปัญหา และได้ตั้งเป็นปัญหาหาขึ้นมาว่า เศรษฐกิจทำให้คนหงุดหงิดหรือเปล่า? การขาดเงินทำให้คนเครียดหรือไม่? ฯลฯ
เมื่อมีปัญหา ก็มักจะตอบปัญหาในใจไปด้วยเสมอ เช่นอาจจะตอบว่า
เศรษฐกิจไม่ดีทำให้คนหงุดหงิด
เศรษฐกิจไม่ดีทำให้คนเครียด
ถ้าปัญหาข้างบนเป็นปัญหาการวิจัยแล้ว คำตอบดังกล่าวก็เป็น "สมมุติฐาน"
คราวนี้เราลองกลับไปดูตั้งแต่ประโยคแรกเป็นต้นมา จะเห็นว่า เราเริ่มต้นจากการ "สังเกต" ข้อเท็จจริงในธรรมชาติ สังเกตเพียง "บางส่วน" ของทั้งหมด แล้วเรา "สันนิษฐาน" (Inferred ) หรือ "อุปนัย" เอาว่า "คนส่วนใหญ่เครียด" และเรา "อธิบาย" ว่า "เศรษฐกิจทำให้คนเครียด" ข้อสรุปที่ว่า "คนส่วนใหญ่เครียด"นี้เป็น "หลัก" (Principle) และ "เศรษฐกิจทำให้คนเครียด" เป็น "ทฤษฎี" จะเห็นว่า กระบวนการนี้เป็นกระบวนการคิดแบบ "อุปนัย" ( Induction) มันมี "ความไม่แน่นอน" หรือ "ความน่าจะเป็น" (Probability) ซ่อนอยู่
ต่อมา เราใช้หลักนี้เป็น "คำถาม" หรือ "ปัญหา" จึงเป็นปัญหาเชิง Probability อย่างไม่ต้องสงสัย
และจากปัญหาก็ไปเป็น "คำตอบ" และคำตอบนี้ก็คือ "Hypothesis" ใช่หรือไม่ ? และก็มีนัยของความน่าจะเป็นซ่อนอยู่เช่นกัน !!!
และราทดสอบสมมุติฐานนี้ด้วยความน่าจะเป็น p = .05
สรุปว่าทั้งเรื่องที่กล่าวมานี้เป็นเรื่องของ การอุปนัย และความน่าจะเป็น
ก็เพราะว่าเรื่องทั้งสองนี้ คู่กัน
การวิจัยที่เราทำกัน ส่วนใหญเราทำกันเช่นนี้ใช่ไหม?
นี่ไงละ การวิจัยโดยเฉพาะการทดลอง ที่แท้ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการอุปนัยเกือบทั้งเรื่อง !!!