Mrs.Betty H. Repa & Mrs.Maren Sheman Fischer อดีตข้าราชการครู แห่งเมือง Boothbay ชาว Mainers วางแผนมาเที่ยวประเทศไทย โดยคุณ Maren บินมาสมทบกับคุณ Betty ที่ไต้หวันและสองสาวพากันบินมาประเทศไทย เนื่องในโอกาสที่คุณ Ted สามีของคุณ Betty มารับงานอยู่ประเทศไต้หวัน ระยะเวลา 4 เดือน และได้บินตามทั้งสองคนมาเที่ยวประเทศไทยหลังจากนั้นสองวัน
คุณรุจิราโทรฯมาชวนให้ไปรับรองแขก(ฝรั่ง) ทั้ง 2ท่าน เนื่องจากเห็นว่าว่างเว้นจากกิจกรรมอยู่ 2 วันและตนเคยพำนักอยู่ที่ Boothbay เป็นเวลา 2เดือนครึ่ง ถือว่าเป็นเครือญาติเพื่อนพ้องเมืองเดียวกันและสืบสายสัมพันธ์เกี่ยวกับครอบครัวเอเอฟเอสผ่านทางคุณ Kitty และคุณ Bob ผู้ประสานงานเอเอฟเอสเขต Boothbay ซึ่งเขาดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับ Green House ที่เมือง Boothbay นั่นเอง ขอกล่าวถึงเมืองนี้สักเล็กน้อย เป็นเมืองที่สวยมากๆ ติดชายฝั่งทะเลแอตแลนติก พลเมืองล้วนมีฐานะดี หลายครอบครัวมีเรือคล้ายๆเรือยอร์ท ทอดสมอไว้แล่นท่องเที่ยวยามอากาศดี ที่นี่มีหิมะตกเกือบ 6 เดือน และมี Lobster ได้ชื่อว่าอร่อยที่สุดในโลก ประชาชนล้วนอัธยาศัยดี มีมนุษยสัมพันธ์และมีน้ำใจดีเยี่ยมค่ะ
คุณ Kitty และคุณ Bob เคยมาเที่ยวประเทศไทยเมื่อปี 2006 ตนเองยังมีโอกาสได้เป็นไกด์พาเที่ยวเชียงใหม่ ทั้งขึ้นช้าง ขี่เกวียน ล่องแพ เดินเล่นแถบ Night Plaza และถนนวัวลาย ถ่ายรูปชุดชาวเหนือที่สตูดิโอ ทานขันโตกดินเน่อร์ที่ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ โดยได้รับความอนุเคราะห์ที่พักจาก
คุณจรูญ - คุณทัศนีย์ ตาทอง อย่างดียิ่ง และแวะเที่ยวพระธาตุลำปางหลวง จังหวัดลำปาง พาไปอธิษฐาน
วัดไม้วากันอย่างสนุกสนาน นอกจากนั้นได้พาเที่ยวชมสถานที่สำคัญๆ ในจังหวัดกำแพงเพชรอีก 2 วันและ
ขับรถพาไปชมพระพุทธชินราชที่จังหวัดพิษณุโลกและนอนเล่นที่รีสอร์ทบริเวณหมู่บ้านแค้มป์สน จังหวัด
เพชรบูรณ์ ก่อนส่งไม้ผลัดไปสู่มือคุณเผชิญพี่ชาวเอเอฟเอสเขตอุดรธานี คุณ Kitty และคุณ Bob เลยแนะนำ
และฝากให้คุณรุจิรา คันทรง / คุณจรูญ - คุณทัศนีย์ ตาทอง ช่วยเทคแคร์คุณ Betty และคุณ Maren งานนี้
ตนเองแค่น้ำจิ้มช่วยชูรสเพิ่มสีสันของกิจกรรมแถบกรุงเทพมหานครค่ะ
กิจกรรมครึ่งเช้าก็คือพาเที่ยวชมพระมหาราชวังและวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) ทั้งสองคน
ล้วนชื่มชมความงามของศิลปะการตกแต่ง ฟังแล้วรู้สึกภาคภุมิใจแทนชาวไทยทั้งประเทศ ช่วงบ่ายเที่ยว
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม(วัดโพธิ์) และลองนวดเท้า( Foot Massage) ครั้งแรกเธอตั้งใจจะไปนวดที่
จังหวัดเชียงใหม่ แต่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มาเที่ยวบริเวณนั้นแนะนำให้นวดเสียเลยเพราะจะรู้สึกสบายเท้า
ดีมาก คุณเธอทั้งสองก็เลยอดใจไม่ไหวลองรับบริการนวดเดี๋ยวนั้นเลย การโฆษณาชวนเชื่อนับว่าได้ผลดีแท้
จากปาก-ต่อปากโดยตรง จริงๆแล้วคุณทั้งสองเพิ่งเดินเที่ยวได้แค่ครึ่งวันอาจจะยังไม่รู้สึกปวดเมื่อยสักเท่าไหร่
ปรากฏว่าหลังการนวดฝ่าเท้าใช้เวลา 45 นาที ราคา 350 บาท เธอบอกเล่าความรู้สึกว่า ครั้งแรกเจ็บมากต้อง
คอยบอกว่าเบาๆ แต่ตอนนี้ก็รู้สึกว่าสบายเท้าดีจริงๆ ตนก็ว่าดีเช่นกันที่ได้หยุดพักตั้ง 45 นาที อากาศมันร้อน
มากๆ ความจริงบอกเพื่อนๆชาวต่างชาติเกือบทุกรายว่า ควรมาเที่ยวประเทศไทย ช่วงเดือนพฤศจิกายน –
กุมภาพันธ์ เพราะอากาศไม่ร้อนมากนัก แต่เข้าใจว่าบางครั้งเขาอาจจะว่างในช่วงเมษายน บางรายเจาะจงจะ
มาเที่ยวช่วงเมษายน ยอมทนเรื่องความร้อนเพราะเห็นเป็นช่วงปิดเทอมของเรา โถ …..ปิดเทอมก็ไม่ค่อยว่าง
เช่นกันจ้า
ออกจากวัดโพธิ์ก็นั่งเรือรับจ้างข้ามฝั่งไปเที่ยววัดอรุณราชวราราม(วัดแจ้ง) เป็นศิลปะอีกสไตล์หนึ่งที่ใช้เครื่อง
ชามสังคโลกมาตกแต่ง วัดนี้ถ่ายภาพออกมาดูงดงามกว่าภาพจริงที่เห็นอีกแน่ะ ในฐานะคนไทยนอกจากเที่ยว
โดยส่วนตัวแล้วยังมีโอกาสได้พาเพื่อนชาวต่างชาติมาเที่ยวชมไม่ต่ำกว่า 10 ครั้ง แวะพักร้อนที่ห้องแอร์เย็นฉ่ำ
ณ กองการท่องเที่ยวกรุงเทพฯ ที่ ดร. นงพะงา บุญปักษ์ เป็นผู้อำนวยการ สำนักวัฒนธรรม กีฬาและ
การท่องเที่ยว กรุงเทพฯ เธอเป็นเพื่อนสนิทกับคุณรุจิรา ช่วงเช้าก็ให้น้องเกรทลูกชายคนเล็กไปเดินเที่ยว
เล่นด้วย พร้อมคุณนัทพนักงานที่สำนักฯช่วยเป็นไกด์นำชม ขณะที่เราไปถึงดูเหมือนดร นงพะงา จะวุ่นวาย
กับการเตรียมการไป Road show ที่ดูไบ เพื่อประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยว ได้แต่ทักทายเพียงเล็กน้อย เพิ่งรู้
นะเนี่ยว่าตนเองชอบการท่องเที่ยว ดูจะถูกจริตดีทีเดียว แต่คงสายเกินกว่าที่จะเปลี่ยนแปลงสายงานแล้วหล่ะ
ต้องไปเกิดใหม่สถานเดียว (แป่วววววว) ดร. นงพะงา และครอบครัวได้พาคณะฯของเราจำนวน 6 คน
มีคุณเจี๊ยบ จากสำนักงานเอเอฟเอสฯ และพี่เอ๊กซ์ แฟนคุณรุจิรา มาสมทบเพิ่มเติม ไปเลี้ยงรับบนเรือสำราญ
ริเวอร์ไซด์ 3 ล่องแม่น้ำเจ้าพระยาชมทัศนียภาพกรุงเทพฯยามค่ำคืน ดูงดงามกระจ่างตาดีจริงๆ เสียดายแต่ว่าติด
ไฟฟ้าน้อยไปนิดหนึ่ง หากมีลำแสงไฟฟ้าจากอาคาร- สิ่งก่อสร้างต่างๆ มากกว่านี้จะยิ่งดูงดงามมากยิ่งขึ้น
ผู้บริหารกรุงเทพฯ น่าจะลองพิจารณา ในการพัฒนาการท่องเที่ยวในบรรยากาศยามราตรีดูบ้างนะ เชิญเจ้าของ
อาคารสูงๆและโรงแรมใหญ่ๆ ที่ปลูกติดฝั่งแม่น้ำมาประชุม ติดดวงไฟเพิ่มเติมและเปิดช่วง 1ทุ่มครึ่ง - 3 ทุ่ม
เผื่อจะเป็นจุดขายให้กับนักท่องเที่ยวได้อีกรูปแบบหนึ่ง ได้รับรู้ว่าควรต้องช่วยกันประหยัดไฟฟ้าเพื่อลด
สภาวะโลกร้อนแต่เชื่อเถอะทั่วโลกเขาก็ทำกันหากเป็นกิจกรรมหนึ่งที่ส่งเสริมธุรกิจบางอย่างหรือเพื่อการ
ท่องเที่ยว ลมเย็นจากแม่น้ำเจ้าพระยาพัดผ่านมาเป็นระลอกๆเพิ่มความรู้สึกสดชื่นเบิกบานดีแท้ๆ เชียว
คุณ Betty และคุณ Maren แขกฝรั่งของเรา ดูเหมือนจะพึงพอใจกับกิจกรรมวันนี้เป็นอย่างมาก เธอทั้ง
สองกล่าวขอบคุณทุกคนอย่างซาบซึ้ง คณะฯของเราแยกย้ายกันกลับที่พักในเวลา 4 ทุ่ม10 นาที ครอบครัว
คุณรุจิราต้องขับรถตระเวนส่งแขกกว่าจะถึงที่พักเกือบ 5 ทุ่ม ขอขอบพระคุณครอบครัว ดร.นงพะงา ที่กรุณา
เลี้ยงรับรอง ส่งผลให้ตนได้รับอานิสงค์ตามไปด้วยค่ะ
เรียนอาจารย์ขจิต
ขอบคุณนะคะที่กรุณาแวะเข้ามาเยี่ยมชม หลายคนบอกว่าชอบหาเรื่องทำค่ะ ประเภทอยู่ไม่สุข