พาแขก(ฝรั่ง) ชมเมืองฟ้าอมรแห่งกรุงเทพมหานครฯ ( ตอนที่ 1)


วัดพระศรีรัตนศาสดาราม / วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม/ วัดอรุณราชวราราม/เรือสำราญริเวอร์ไซด์ 3

  Mrs.Betty  H. Repa & Mrs.Maren Sheman Fischer อดีตข้าราชการครู แห่งเมือง  Boothbay ชาว  Mainers วางแผนมาเที่ยวประเทศไทย  โดยคุณ Maren   บินมาสมทบกับคุณ Betty ที่ไต้หวันและสองสาวพากันบินมาประเทศไทย  เนื่องในโอกาสที่คุณ Ted สามีของคุณ Betty มารับงานอยู่ประเทศไต้หวัน  ระยะเวลา เดือน  และได้บินตามทั้งสองคนมาเที่ยวประเทศไทยหลังจากนั้นสองวัน

         คุณรุจิราโทรฯมาชวนให้ไปรับรองแขก(ฝรั่ง) ทั้ง ท่าน  เนื่องจากเห็นว่าว่างเว้นจากกิจกรรมอยู่ 2 วันและตนเคยพำนักอยู่ที่ Boothbay เป็นเวลา เดือนครึ่ง ถือว่าเป็นเครือญาติเพื่อนพ้องเมืองเดียวกันและสืบสายสัมพันธ์เกี่ยวกับครอบครัวเอเอฟเอสผ่านทางคุณ Kitty และคุณ Bob ผู้ประสานงานเอเอฟเอสเขต Boothbay  ซึ่งเขาดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับ Green House ที่เมือง  Boothbay นั่นเอง  ขอกล่าวถึงเมืองนี้สักเล็กน้อย  เป็นเมืองที่สวยมากๆ ติดชายฝั่งทะเลแอตแลนติก  พลเมืองล้วนมีฐานะดี  หลายครอบครัวมีเรือคล้ายๆเรือยอร์ท ทอดสมอไว้แล่นท่องเที่ยวยามอากาศดี  ที่นี่มีหิมะตกเกือบ 6 เดือน และมี Lobster ได้ชื่อว่าอร่อยที่สุดในโลก ประชาชนล้วนอัธยาศัยดี  มีมนุษยสัมพันธ์และมีน้ำใจดีเยี่ยมค่ะ

                   คุณ Kitty และคุณ Bob เคยมาเที่ยวประเทศไทยเมื่อปี 2006  ตนเองยังมีโอกาสได้เป็นไกด์พาเที่ยวเชียงใหม่ ทั้งขึ้นช้าง  ขี่เกวียน   ล่องแพ  เดินเล่นแถบ Night Plaza และถนนวัวลาย  ถ่ายรูปชุดชาวเหนือที่สตูดิโอ ทานขันโตกดินเน่อร์ที่ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่  โดยได้รับความอนุเคราะห์ที่พักจาก
คุณจรูญ - คุณทัศนีย์  ตาทอง อย่างดียิ่ง และแวะเที่ยวพระธาตุลำปางหลวง  จังหวัดลำปาง   พาไปอธิษฐาน
วัดไม้วากันอย่างสนุกสนาน  นอกจากนั้นได้พาเที่ยวชมสถานที่สำคัญๆ ในจังหวัดกำแพงเพชรอีก
2 วันและ
ขับรถพาไปชมพระพุทธชินราชที่จังหวัดพิษณุโลกและนอนเล่นที่รีสอร์ทบริเวณหมู่บ้านแค้มป์สน  จังหวัด
เพชรบูรณ์ ก่อนส่งไม้ผลัดไปสู่มือคุณเผชิญพี่ชาวเอเอฟเอสเขตอุดรธานี  คุณ
Kitty และคุณ Bob เลยแนะนำ
และฝากให้คุณรุจิรา   คันทรง / คุณจรูญ - คุณทัศนีย์    ตาทอง ช่วยเทคแคร์คุณ
Betty  และคุณ Maren  งานนี้
ตนเองแค่น้ำจิ้มช่วยชูรสเพิ่มสีสันของกิจกรรมแถบกรุงเทพมหานครค่ะ 

            

        กิจกรรมครึ่งเช้าก็คือพาเที่ยวชมพระมหาราชวังและวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) ทั้งสองคน
ล้วนชื่มชมความงามของศิลปะการตกแต่ง  ฟังแล้วรู้สึกภาคภุมิใจแทนชาวไทยทั้งประเทศ
   ช่วงบ่ายเที่ยว
วัด
พระเชตุพนวิมลมังคลาราม(วัดโพธิ์) และลองนวดเท้า( Foot Massage) ครั้งแรกเธอตั้งใจจะไปนวดที่
จังหวัดเชียงใหม่  แต่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มาเที่ยวบริเวณนั้นแนะนำให้นวดเสียเลยเพราะจะรู้สึกสบายเท้า
ดีมาก  คุณเธอทั้งสองก็เลยอดใจไม่ไหวลองรับบริการนวดเดี๋ยวนั้นเลย  การโฆษณาชวนเชื่อนับว่าได้ผลดีแท้
จากปาก-ต่อปากโดยตรง  จริงๆแล้วคุณทั้งสองเพิ่งเดินเที่ยวได้แค่ครึ่งวันอาจจะยังไม่รู้สึกปวดเมื่อยสักเท่าไหร่
ปรากฏว่าหลังการนวดฝ่าเท้าใช้เวลา
45 นาที ราคา 350 บาท เธอบอกเล่าความรู้สึกว่า  ครั้งแรกเจ็บมากต้อง
คอยบอกว่าเบาๆ แต่ตอนนี้ก็รู้สึกว่าสบายเท้าดีจริงๆ  ตนก็ว่าดีเช่นกันที่ได้หยุดพักตั้ง
45 นาที  อากาศมันร้อน
มากๆ ความจริงบอกเพื่อนๆชาวต่างชาติเกือบทุกรายว่า  ควรมาเที่ยวประเทศไทย ช่วงเดือนพฤศจิกายน

กุมภาพันธ์  เพราะอากาศไม่ร้อนมากนัก  แต่เข้าใจว่าบางครั้งเขาอาจจะว่างในช่วงเมษายน  บางรายเจาะจงจะ
มาเที่ยวช่วงเมษายน ยอมทนเรื่องความร้อนเพราะเห็นเป็นช่วงปิดเทอมของเรา   โถ
…..ปิดเทอมก็ไม่ค่อยว่าง
เช่นกันจ้า 

           

  ออกจากวัดโพธิ์ก็นั่งเรือรับจ้างข้ามฝั่งไปเที่ยววัดอรุณราชวราราม(วัดแจ้ง) เป็นศิลปะอีกสไตล์หนึ่งที่ใช้เครื่อง
ชามสังคโลกมาตกแต่ง  วัดนี้ถ่ายภาพออกมาดูงดงามกว่าภาพจริงที่เห็นอีกแน่ะ  ในฐานะคนไทยนอกจากเที่ยว
โดยส่วนตัวแล้วยังมีโอกาสได้พาเพื่อนชาวต่างชาติมาเที่ยวชมไม่ต่ำกว่า
10 ครั้ง   แวะพักร้อนที่ห้องแอร์เย็นฉ่ำ
ณ กองการท่องเที่ยวกรุงเทพฯ ที่ ดร
. นงพะงา  บุญปักษ์  เป็นผู้อำนวยการ สำนักวัฒนธรรม กีฬาและ
การท่องเที่ยว กรุงเทพฯ เธอเป็นเพื่อนสนิทกับคุณรุจิรา  ช่วงเช้าก็ให้น้องเกรทลูกชายคนเล็กไปเดินเที่ยว
เล่นด้วย  พร้อมคุณนัทพนักงานที่สำนักฯช่วยเป็นไกด์นำชม 
 ขณะที่เราไปถึงดูเหมือนดร นงพะงา   จะวุ่นวาย
กับการเตรียมการไป
Road show ที่ดูไบ เพื่อประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยว  ได้แต่ทักทายเพียงเล็กน้อย  เพิ่งรู้
นะเนี่ยว่าตนเองชอบการท่องเที่ยว  ดูจะถูกจริตดีทีเดียว  แต่คงสายเกินกว่าที่จะเปลี่ยนแปลงสายงานแล้วหล่ะ
ต้องไปเกิดใหม่สถานเดียว (แป่วววววว)     ดร. นงพะงา    และครอบครัวได้พาคณะฯของเราจำนวน
6 คน
มีคุณเจี๊ยบ  จากสำนักงานเอเอฟเอสฯ และพี่เอ๊กซ์  แฟนคุณรุจิรา มาสมทบเพิ่มเติม   ไปเลี้ยงรับบนเรือ
สำราญ
ริเวอร์ไซด์
3 ล่องแม่น้ำเจ้าพระยาชมทัศนียภาพกรุงเทพฯยามค่ำคืน ดูงดงามกระจ่างตาดีจริงๆ  เสียดายแต่ว่าติด
ไฟฟ้าน้อยไปนิดหนึ่ง  หากมีลำแสงไฟฟ้าจากอาคาร- สิ่งก่อสร้างต่างๆ มากกว่านี้จะยิ่งดูงดงามมากยิ่งขึ้น 
ผู้บริหารกรุงเทพฯ น่าจะลองพิจารณา ในการพัฒนาการท่องเที่ยวในบรรยากาศยามราตรีดูบ้างนะ  เชิญเจ้าของ
อาคารสูงๆและโรงแรมใหญ่ๆ ที่ปลูกติดฝั่งแม่น้ำมาประชุม  ติดดวงไฟเพิ่มเติมและเปิดช่วง
1ทุ่มครึ่ง - 3 ทุ่ม 
เผื่อจะเป็นจุดขายให้กับนักท่องเที่ยวได้อีกรูปแบบหนึ่ง  ได้รับรู้ว่าควรต้องช่วยกันประหยัดไฟฟ้าเพื่อลด
สภาวะโลกร้อนแต่เชื่อเถอะทั่วโลกเขาก็ทำกันหากเป็นกิจกรรมหนึ่งที่ส่งเสริมธุรกิจบางอย่างหรือเพื่อการ
ท่องเที่ยว  ลมเย็นจากแม่น้ำเจ้าพระยาพัดผ่านมาเป็นระลอกๆเพิ่มความรู้สึกสดชื่นเบิกบานดีแท้ๆ เชียว 
คุณ
Betty  และคุณ Maren แขกฝรั่งของเรา ดูเหมือนจะพึงพอใจกับกิจกรรมวันนี้เป็นอย่างมาก  เธอทั้ง
สองกล่าวขอบคุณทุกคนอย่างซาบซึ้ง  คณะฯของเราแยกย้ายกันกลับที่พักในเวลา
4 ทุ่ม10 นาที   ครอบครัว
คุณรุจิราต้องขับรถตระเวนส่งแขกกว่าจะถึงที่พักเกือบ
5 ทุ่ม  ขอขอบพระคุณครอบครัว ดร.นงพะงา ที่กรุณา
เลี้ยงรับรอง  ส่งผลให้ตนได้รับอานิสงค์ตามไปด้วยค่ะ     
                

                        

 

หมายเลขบันทึก: 258663เขียนเมื่อ 1 พฤษภาคม 2009 22:34 น. ()แก้ไขเมื่อ 16 มิถุนายน 2012 04:44 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)
  • ตามมาดู
  • คุณครูขยันจังเลยครับ
  • ปิดเทอมก็ไม่ได้หยุด
  • ดีใจที่พบบันทึกคุณครูสม่ำเสมอครับ

เรียนอาจารย์ขจิต

ขอบคุณนะคะที่กรุณาแวะเข้ามาเยี่ยมชม หลายคนบอกว่าชอบหาเรื่องทำค่ะ ประเภทอยู่ไม่สุข

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท