เพราะรักจึงเพาะรัก (ต่อ 2)


“อรอิน” คิดเพียงแต่ว่า “ เวลาที่เหลืออยู่เธอจะทำอะไรให้ลูกได้บ้าง”

 

       เมื่อคำพร่ำสอนของ “อรอิน”ปลูกฝังลงลึกภายในจิตใจของลูกสาวทั้งสองคนของเธอ

             มาเป็นระยะเวลากว่า 10 ปี ทำให้ “ปักปิ่น”และ “กลิ่นแก้ว”

              กลายเป็นเมล็ดพันธ์ชั้นดีที่พร้อมจะเติบใหญ่เป็นไม้งามได้เสมอ

       “อรอิน” แน่ใจเหลือเกินว่าหากวันหนึ่งที่ไม่มีเธอแล้ว เขาสองคนจะอยู่ได้อย่างเข้มแข็ง

               เฉกเช่น เธอในครั้งนั้น เวลาที่ดำเนินต่อไปอย่างไม่เคยรอใคร

               ในขณะที่เวลาของผู้หญิงที่ชื่อ “อรอิน” คนนี้กลับเหลือน้อยลงทุกวัน

       เนื้อร้ายในสมองที่นับวันจะเพิ่มขนาดมากขึ้น อาการก็ยิ่งแสดงให้เห็นมากขึ้นทุกวันเช่นกัน

               จากที่มีเพียงอาการปวดศีรษะเล็กๆน้อยๆ อันที่จริงแล้วเธอรู้ว่าตนเอง

               มีเนื้องอกในสมองมาตั้งนานแล้วด้วยซ้ำตั้งแต่ครั้งที่ “เจนกิจ” จากเธอไป

               เธอก็มีอาการอยู่บ่อยครั้ง แต่ในช่วงนั้นเธอคิดเพียงแต่ว่าคงปวดหัว

               เพราะคิดมากกับการจากไปของ “เจนกิจ” ผู้เป็นสามี เท่านั้น

        เหตุการณ์กลับไม่เป็นอย่างที่เธอคิดไว้เสียแล้ว เมื่อเธอเริ่มมีอาการปวดศีรษะมากขึ้น

        และมีอาการตาพร่ามัวในบางครั้ง จนเธอเองอดสงสัยไม่ได้ว่าสาเหตุที่ทำให้เธอปวดศีรษะนั่นคืออะไรกันแน่

        ว่าแล้วเธอก็ไม่ปล่อยให้คำถามนั้นจางหายไปโดยไร้ซึ่งคำตอบและทำให้เธอตัดสินใจไป รพ. แห่งหนึ่ง

        เพื่อตรวจหาสาเหตุ หากแต่ไม่มีใครได้รับรู้เรื่องเลย แม้กระทั่ง “ปักปิ่น” และ “กลิ่นแก้ว” ผู้เป็นลูก

        เมื่อขั้นตอนการตรวจเสร็จสับ เหลือเพียงรอทราบผล ระหว่างที่รอทำให้เธอกังวลอยู่ไม่น้อย

                         ภายในห้องสีขาวสะอาดตา และเงียบสงัดมีเพียง “อรอิน” และ "กิติกา"

                   แพทย์เจ้าของไข้นั่งที่เก้าอี้สีดำเข้มตัวใหญ่ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับ “อรอิน” 

         เธอใช้สายตาที่ดูอบอุ่นคู่นั้นมองไปที่ใบหน้าของ “อรอิน” พร้อมกับเปล่งเสียงออกไปอย่างแผ่วเบา

                  และยื่นมือที่อ่อนนุ่มของเธอสัมผัสไปยังมือของ “อรอิน” อย่างนุ่มนวล 

         “ผลการตรวจพบว่า คุณมีเนื้องอกในสมองค่ะ”  เสี้ยววินาทีหลังจากสิ้นเสียงของแพทย์สาว

          ทำให้ “อรอิน” นั่งอึ้งอยู่พักใหญ่ พร้อมกับใบหน้าอันซีดเผือก มือของเธอเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง

          หากแต่กลับมีเหงื่อชุ่มไปทั้งตัว ด้วยผลการตรวจที่เธอได้รับรู้ ยากที่จะทำให้เธอรับมือกับมันได้

          เมื่อแพทย์เจ้าไข้เห็นสีหน้าคนไข้ของตน ดูท่าไม่สู้ดีนัก จึงเอ่ยวาจาออกไปเพียงหนึ่งประโยคสั้นๆๆนั้น

                      ในห้องที่มีเพียง “อรอิน” และ “กิติกา” แพทย์สาวผู้เป็นเจ้าของไข้

                      เงียบสงัดจนทำให้ได้ยินกระทั่งเสียงเข็มนาฬิกาเดิน ท่ามกลางความเงียบนั้น

                      ก็มีเสียงของอีกฝ่ายเอ่ยขึ้นมา  “หมอค่ะ ฉันเหลือเวลานานเท่าไหร่ค่ะ” 

                      “กิติกา” ใจชื่นขึ้นมาบ้างที่ได้ยินเสียงจากคนไข้ของตน

          แพทย์สาวพยายามสร้างบรรยากาศให้ดูผ่อนคลายและดูเครียดน้อยลงด้วยการตอบกลับอย่างอ่อน

           “ คุณ อรอิน ค่ะ เนื้องอกที่ตรวจพบมีขนาดเล็ก หมอคิดว่าเราสามารถรักษาด้วยการใช้ยาได้ 

            เรามีโอกาสหายนะค่ะ แค่อยากให้คุณ อรอิน หลีกเลี่ยงภาวะเครียด

            เพราะโรคนี้ก็ไม่ค่อยจะถูกกันซักเท่าไหร่นัก หมอไม่อยากให้คุณ อรอิน กังวลไปนะค่ะ”

            ในขณะที่แพทย์สาวได้เอ่ยวาจาอยู่นั้น ในใจของ “อรอิน” คิดเพียงแต่ว่า

                 “ เวลาที่เหลืออยู่เธอจะทำอะไรให้ลูกได้บ้าง”  แล้วใบหน้าของ “อรอิน”

                     ที่ซีดเผือกนั่นก็โดนแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม ทำให้ “กิติกา”

                     ผู้ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามต้องยิ้มรับกับรอยยิ้มที่ “อรอิน” ส่งมาให้

            ซึ่งทำให้ “กิติกา” แปลกใจอยู่ไม่น้อยว่าอะไรที่ทำให้เธอ “อรอิน” เปลี่ยนไปเป็นคนละคนได้เพียงชั่ววินาที

            การสนทนาและการนัดหมายในการรักษาระหว่างแพทย์สาวและคนไข้ของเธอจบลง

            ภายใต้คำขอของคนไข้ว่า “ไม่ว่าใครถามอะไรก็ตาม ขอให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ” 

              .................โดยไม่มีเหตุผลใดๆหลุดออกมาจากปากเธอแม้แต่น้อย....................

           อาการของ “อรอิน” ทรงตัวมาตลอด จนกระทั่งที่ผลการ X-ray สมองครั้งล่าสุด

                 “โชคร้ายเป็นของเธอเสียจริงเมื่อเนื้อร้ายลุกลามเข้าไปในส่วนของแกนสมองซึ่งเป็นบริเวณที่สำคัญ"

                การผ่าตัดเป็นทางเลือกที่ค่อนข้างเสี่ยงสูงสำหรับเธอ อาการตาพร่ามัวที่ยิ่งนับวันยิ่งเป็นปัญหากับเธอ

                      รวมถึงอาการปวดศีรษะที่บางครั้งฤทธิ์แทบจะไม่ช่วยอะไรเธอได้เลย

                      เหตุที่ทำให้อาการของเธอแย่ลงคงหนีไม่พ้นการทุ่มเทให้กับธุรกิจของเธอ

 

                      ธุรกิจที่ว่าของเธอคือ ร้านดอกไม้ ที่เธอตั้งชื่อว่า “เพาะรัก” 

 

                      เธอตั้งใจว่านี้จะเป็นสิ่งแทนใจที่เธอจะทิ้งไว้ให้ลูกของเธอ

              ทุกวันของการทำงานของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ต่อให้วันนั้นจะเหน็ดเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม

              “ปักปิ่น” และ “กลิ่นแก้ว”   จะกลับมาช่วยงานที่ร้านทุกๆเสาร์-อาทิตย์

              เพราะทั้งสองต้องเรียนซึ่งทั้งสองพักหอในของมหาวิทยาลัย ส่วนบ้านและร้านดอกไม้นั่นอยู่ที่ชะอำ

             “ปักปิ่น” และ “กลิ่นแก้ว” กลับบ้านทุกครั้งจะเห็นแต่รอยยิ้มของ “อรอิน” ผู้เป็นแม่เสมอ

                    ............เธอทั้งสองไม่เคยได้รับรู้เลยว่า “อรอิน” ประสบอยู่กับโรคร้าย ...........

 

                               “อรอิน” ไม่ต้องการให้ใครรู้เพียงแค่เธอคิดว่า

                    “ยังไงเสีย ทางเลือกที่เธอได้ตัดสินใจเลือกไป ก็คงไม่ได้แตกต่างกันมากนัก”

              เธอขอใช้เวลาที่เหลืออยู่ทั้งหมดทำในสิ่งที่เธออยากทำให้กับดวงใจทั้งสองของเธอเสียดีกว่า

                                “ ไม้ใกล้ฝั่งอย่างฉัน ขอเพียงแค่นี้”

              นี้เป็นคำที่เธอพึมพำกับตัวเองในมุมห้องที่เธอนั่งเขียน Diary เป็นประจำ 

เรื่องยังดำเนินต่อไปค่ะ บทสรุปจะเป็นอย่างไร ติดตามต่อให้ได้นะค่ะ................  

>>> กันเกรา             

 

 

 

 

         

                  

หมายเลขบันทึก: 254236เขียนเมื่อ 8 เมษายน 2009 04:03 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 20:34 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

โอว นี่ผมติดนิยายเรื่องนี่เข้าแล้วจริงๆหรือเนี่ย แทบจะอดใจรอตอนต่อไปไม่ไหวเลย แต่งเร็วๆนะ ฮี้ๆๆๆๆ

ดีคะ ติดตามอ่านมาตั้งแต่ตอนแรกเลย

แต่ต่อนะจะรอตอนจบคร้า

เศร้าขึ้นเรื่อยๆ

จะจบยังไงเนี่ย ???

การที่เราโกโหกไม่บอกบางสิ่งบางอย่าง

ที่จะทำให้เค้าไม่สบายใจมันก็ไม่ผิดหรอนะถ้าเค้าสบายใจ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท