จิตที่ "หดหู่...!"


จิตใจวันนี้ช่างหดหู่ ท้อแท้ และเหนื่อยมากนะ
เหนื่อยมากที่ต้องอดทน ต้องสู้ในเส้นทางที่เต็มไปด้วยขวากหนามแห่งอารมณ์

แม้งานในหน้าที่ของพระจะดูเหมือนสบาย คือ ไม่ต้องแบกหามอะไรมากมาย แต่พระนั้นมีหน้าที่สู้อยู่กับอารมณ์ สู้และอยู่กับใจที่หวั่นไหวอยู่ตลอดเวลา

งานที่ดูสบาย ๆ นี้ จึงเป็นงานที่คนทั้งหลายไม่อยากเข้ามาทำ
ทั้ง ๆ ที่การบรรพชาเข้ามาอยู่ในพระพุทธศาสนาก็ไม่ได้ทำให้เราเหนื่อยกายมากมายอะไรนักหนา
งานที่ทำนั้นก็ไม่ถึงกับต้องแบก ต้องหามของหนัก ๆ อยู่ตลอดเวลา
แต่ทว่าการแบกใจ การรับอารมณ์ที่หนัก ๆ อยู่ตลอดเวลานั้นเป็นงานที่หนักว่าหินหรือว่าวัตถุใด ๆ

ดังนั้น อาการ “จิตหดหู่” ท้อแท้ เหนื่อยหรือสิ้นหวังจึงเป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นได้กับ “นักสู้” ที่มีหน้าที่ “สู้อารมณ์”

บางครั้ง บางวัน หรือในหลาย ๆ ครั้ง หลาย ๆ วัน เราจึงเหนื่อยมาก ท้อมาก และหดหู่มาก

ท้อจนแทบอยากจะหนีออกไปให้พ้นจากกำแพงที่กั้นเราจากสังคมภายนอกนี้
เหนื่อยนะ หิวนะ ไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้ว ทำไมเราต้องมาทน มาทุกข์อย่างนี้ด้วย
ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนเราสบาย คนอื่นเขาก็สบาย เขาได้กินข้าว ได้พักผ่อน เรากลับต้องมาทำงาน ทำงาน ทำงาน อย่างหนัก แถมยังต้องอดอาหาร ไม่สามารถจะทานอะไรในเวลาวิกาลได้

เราจะทนสู้ต่อไปทำไมหนอ...?
เมื่อคิด จิตก็เริ่มหดหู่
เมื่อเหนื่อย จิตก็เริ่มท้อ
ทั้ง ๆ ที่ประตูก็ไม่ได้ลงกลอน ทำไมเราถึงไม่หนีออกไปให้พ้น ๆ ทำไมเราต้องเหนื่อย ทำไมเราต้องสู้
เราทำเราต้องทำงานเพื่อคนอื่น ต้องรับใช้เขาหรือญาติโยมทั้งหลายด้วยนะ
บางครั้งเราก็ท้อใจและเหนื่อยมากนะที่ต้องมาเป็น “ขี้ข้าโยม”

โยมเขาจะทำอะไรเราก็ต้องอดหลับอดนอนทำให้เขา ง็อก ง็อก ง็อก
เหนื่อยก็เหนื่อย ง่วงก็ง่วง ทำไม่ดีก็โดนเทศน์อีก ทำช้าก็โดนบ่น เราจะทนไปและทำไปทำไมนะ...?
เฮ้อ... เหนื่อย เหนื่อยจริง ๆ

ยิ่งคิดยิ่งเหนื่อย ยิ่งท้อ ยิ่งทุกข์
แต่นั่นสิเน๊อะ... มนุษย์ทั้งหลายเขารดน้ำต้นไม้ที่โคน แต่ต้นไม้นั้นก็ย่อมให้ผลที่ปลาย
วันนี้เราต้องเหนื่อยเพราะการต่อน้ำ ตักน้ำ เพื่อนำมารดน้ำต้นไม้หรือชีวิตของเรานี้ มันก็ต้องเหนื่อย ต้องท้อ ต้องทุกข์เป็นธรรมดา

เราจะพยายามอดทน เข้มแข็ง และสู้ไปให้ได้นานที่สุด เพราะฝึกฝน ปฏิบัติตน เพื่อต่อสู้กับอารมณ์ที่จรเข้ามา
มนุษย์ที่ประเสริฐ คือ มนุษย์ที่ฝึกฝน ปฏิบัติตนแล้ว
วันนี้เรามาฝึกฝน เปลี่ยนแปลงตนจากเศษเหล็กที่ไร้ค่าให้เป็นมีดสักด้ามหนึ่งที่ “มีค่า”
ถึงแม้จะต้องถูกเผา ถูกหลอม ถูกทุบ ถูกตี เราก็ต้องอดทน ต่อสู้เพื่อเพิ่มมูลค่า (Value Added) ให้กับตัวเอง
จากเศษเหล็กชิ้นเดิม ไม่นานก็จะเพิ่มเติมมูลค่าให้เป็นเหล็กที่มีมูลค่า มีราคาได้
เราจะสู้เพื่อวันนั้น วันที่เหล็กชิ้นนี้มีราคา มีคุณค่าต่อตนเองและสังคม...

หมายเลขบันทึก: 253929เขียนเมื่อ 6 เมษายน 2009 23:44 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 20:33 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

น่านับถือยิ่ง ที่ท่านเห็นสภาวะที่เกิดภายในใจ จิต ตนเอง

น่านับถือยิ่ง ที่ท่านบอกเล่าสะท้อนตัวอย่างให้พวกเราได้ฟัง

ที่ชี้แนะ ให้เราเห็นสภาวะเดียวกันได้เช่นกัน

น่านับถือ ที่ท่านสละตนปฎิบัติเพื่อส่วนรวม เพื่อศาสนา

อยู่ที่ไหนก็ปฎิบัติธรรมได้จริงๆ แบบท่านเคยสอน

ขันติ บารมี วาสนา ที่ท่านมุ่งมั่นปฏิบัติ และ ที่เคยสะสมมาจะเป็นตัวพิสูจน์

เพศสมณะเป็นเพศที่น่าเคารพอย่างยิ่ง แต่ต้องเป็นสมณะที่มุ่งสู่นิพพานตามรอยพระพุทธเจ้า และ พระอริยสาวกนะครับ

ถ้าท่านหลุดพ้นแล้ว กลับมาโปรดสัตว์ที่ยังติดในสังสารวัฏก็จะเป็นประโยชน์สูงสุดครับ

ขอกราบนมัสการให้ท่านมุ่งมั่น มีความเพียรต่อไปนะครับ...

สาธุ กราบนมัสการเจ้าค่ะ

กราบนมัสการครับ

การที่คนเราท้อแท้หมดแรงหวัง

ก็ของเพียงเราคิดสู้เพื่อตัวเอง

ตั้งจุดหมายปลายทางที่วางไว้

ไปให้ถึงชีวิตนี้ มีไว้เพื่อตัวเราเอง

จิตที่หดหู่ ทำให้ร่างกายเป็นทุกข์ เป็นต้นเหตุหนึ่งของโรคภัย ไข้เจ็บ ครับ

ใจทุกข์ กายเศร้า คนรอบข้างและโลกไม่สดใส ครับ

จิตที่หดหู่เนื่องด้วยมีสรรพสิ่งมากระทบ

เมื่อสรรพสิ่งมากระทบแล้ว จิตนั้นไม่รู้จักปล่อย จักวาง จึงทำให้ "หดหู่"

สิ่งที่มากระทบนั้นเป็นของธรรมดา แต่การที่จิตเก็บไว้ คำนึงไว้ เป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดา

ปล่อยวางสิ่งที่มากระทบต่าง ๆ นั้นเสีย ไม่ว่าจะเป็นตา หู จมูก ลิ้น กายหรือแม้กระทั่งใจ

ปล่อยให้มันผ่านมาและผ่านไป จิตนั้นย่อมไร้ "ความหดหู่..."

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท