21. อนุสรณ์แห่งความล้มเหลว


ความสำเร็จกับความล้มเหลว ห่างกันเพียงพลิกฝ่ามือ

        ในวงการครู ระยะนี้มีหลายคนที่ผิดหวัง นั่นคือ....การเสนอวิทยฐานะไม่ผ่าน มีบ้างที่มาปรับทุกข์กับผม ผมก็ปลอบใจ และให้กำลังใจโดยเล่าเรื่อง KFC ให้ฟัง ได้ผล...ทุกคนเดินจากผมไปด้วยรอยยิ้ม

KFC

(ผมได้รับ Forward mail นานแล้วครับ จำไม่ได้ว่าท่านใดส่งให้)


      พ่อของเขาเสียชีวิตตอนที่เขาอายุได้เพียงห้าขวบ เขาต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน ขณะอายุ 16 ปี 
      ตอนอายุ 17 ปี เขาแสดงความสามารถพิเศษด้วยการตกงานติดต่อกันถึง 4 ครั้ง

      เขาแต่งงานตอนอายุ 18 ปี ปีถัดมาเขาได้เป็นพ่อคน แต่ชีวิตคู่ของเขาก็มีความสุขอยู่ได้ไม่นานนัก  อายุ 20 ปี ภรรยาของเขาพาลูกสาวหนีไป เพราะทนใช้ชีวิตกับ เขาไม่ได้

     ช่วงอายุ 18-22 ปี เขาประกอบอาชีพเป็นคนขายตั๋วรถไฟแล้วก็ล้มเหลว แต่เขาก็ยังต่อสู้กับชีวิตด้วยการหาโอกาสให้ชีวิต แต่ทุกอย่างที่เขาทำก็ไม่วายล้มเหลว เหมือนเดิม

      เขาสมัครเข้าเป็นทหารในกองทัพแต่ก็ถูกขับออกมา หันเหมาสมัครเข้าโรงเรียนกฎหมาย แต่ด้วยความสามารถอันเอกอุ เขาถูกปฏิเสธอย่างไม่ใยดี แล้วเขาก็ไปทำงานเป็นพนักงานขายประกัน แน่นอนที่สุด เขาล้มเหลวอีกครั้ง (แล้ว)

      แค่เกริ่นมาข้างต้นก็คงไม่ต้องบอกว่า ชายคนนี้ทำอะไรไม่ได้เรื่องเลยสักอย่าง ! แต่ก็อย่างว่าแหละ   คนเราอะไรมันจะไม่ได้เรื่องไปเสียหมด สิ่งเดียวที่เขาพบว่า เขาทำได้ดีก็คือ การทำอาหาร

      ดังนั้นเขาจึงไปทำงานเป็นพ่อครัวและคนล้างจานในร้านกาแฟเล็กๆ แห่งหนึ่ง แต่นั่นก็ไม่ใช่ชีวิตที่ทรงคุณค่าอะไรเลยในความคิดของเขา

       ชีวิตที่ร้านกาแฟ เขามีเวลามากมายที่จะนั่งคิดและทำอะไรได้มากพอสมควร แต่เขา กลับเลือกใช้เวลานั่งคิดถึงภรรยาและลูกสาวของเขา เขาเพียรพยายามติดต่อภรรยาและอ้อนวอนให้เธอกลับมาใช้ชีวิตร่วมกันอีกครั้ง แต่ได้รับคำปฏิเสธ

       เขาเปลี่ยนความคิดใหม่ เขาไม่ต้องการภรรยาอีกต่อไป ขอเพียงแต่ได้ลูกสาวกลับคืนมาก็พอ เพราะเขารักและคิดถึงเธอเหลือเกิน

       เขาใช้เวลาว่างในร้านกาแฟวางแผนในการนำลูกสาวกลับคืนมาสู่อ้อมอกของตน เขาวางแผนทุกขั้นตอนละเอียดยิบ คำนวณทุกฝีก้าว ในที่สุดแผนการอันแสนยาวนานก็เสร็จสิ้นลง

        เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ คุณพ่อวัยรุ่นผู้น่าสงสารซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้นอกบ้านหลังเล็กๆ ของภรรยาของเขา เฝ้ามองลูกสาวของเขาเล่นอยู่หน้าบ้านและเตรียมพร้อมที่จะ "ลักพาตัวเธอ!"

        แล้ววันที่ตั้งใจไว้ก็มาถึง เขาซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้อย่างระมัดระวัง แม้จะรู้สึกกังวล ตื่นเต้น และตระหนกอยู่บ้าง แต่นั่นมิอาจเทียบได้กับความรักที่เขามีต่อลูก เขาตัดสินใจที่จะต้องลงมือทำให้สำเร็จ แต่แล้วอนิจจา...
        วันนั้นลูกสาวของเขาไม่ออกมาเล่นหน้าบ้านเลย

        แม้กระทั่งความพยายามในการก่ออาชญากรรม เขาก็ยังล้มเหลว เขารู้สึกเหมือนคนที่พ่ายแพ้ต่อโชคชะตา รู้สึกเหมือนคนไม่มีค่า และเหมือนพระเจ้ากำหนดมาแล้วว่าเขาจะ ต้องอยู่เพียงลำพังไปตลอดชีวิต

       แต่เหมือนปาฏิหาริย์ ในที่สุดเขาก็สามารถโน้มน้าวภรรยาให้กลับมาอยู่ด้วยกันได้ พวกเขาทำงานด้วยกันในร้านกาแฟแห่งนั้น ทำอาหารและล้างจานอยู่จนกระทั่งเขาเกษียณ ตอนอายุ 65 ปี

      วันแรกของการเกษียณอายุ เขาได้รับเช็คเงินประกันสังคมฉบับแรกของเขา เป็นเงิน 105 ดอลลาร์ (ราวสี่พันบาท) เช็คดังกล่าวเหมือนเป็นตัวแทนของรัฐที่ฝากมาบอกเขาว่า เขาไม่อาจจะดูแลตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว ทั้งหมดที่เขาทำได้ก็คือใช้ชีวิตอยู่จนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิตด้วยเงินสนับสนุนจากรัฐบาล

       มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขารู้สึกถูกปฏิเสธ ล้มเหลว เสียกำลังใจ และท้อแท้  ชีวิตของเขาได้รับความผิดหวังอีกครั้งหนึ่งหลังจาก 65 ปีอันยาวนาน

       เขาบอกกับตัวเองว่าถ้าเขาดูแลตัวเองไม่ได้ ต้องมีชีวิตอยู่โดยให้รัฐบาลดูแล เขาก็ไม่สมควรจะมีชีวิตอีกต่อไป เขาตัดสินใจ (อีกแล้ว) ว่า " จะฆ่าตัวตาย "

        เขาหยิบกระดาษหนึ่งแผ่นกับดินสอหนึ่งแท่ง นั่งลงใต้ต้นไม้ในสวนหลังบ้านอย่างสงบ ตั้งใจที่จะเขียนคำสั่งเสียและพินัยกรรม

        แต่แทนที่จะทำเช่นนั้น กลับเหมือนมีอะไรมาดลใจ เหมือนเป็นครั้งแรกที่ชีวิตเกิดปัญญา เขาเริ่มต้นเขียนสิ่งที่เขาควรจะเป็น ชีวิตที่เขาควรจะมี และสิ่งที่เขาปรารถนาในช่วงชีวิตสุดท้ายที่เหลืออยู่

        เขาตกใจมาก เมื่อค้นพบความจริงในชีวิตว่า เขายังไม่เคยทำอะไรสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันกับเขาสักอย่างเลย ! (เพิ่งนึกได้)

        เขานั่งครุ่นคิดกับตัวเองอย่างจริงจัง มีบางอย่างที่เขาสามารถทำได้ บางอย่างที่คนที่รอบตัวทำสู้เขาไม่ได้ ใช่ ! เขารู้วิธีปรุงอาหาร

       ชีวิตเกือบทั้งหมดของเขา อยู่ที่หน้าเตาร้อนๆ มาตลอด เขาตัดสินใจกับตัวเองอีกครั้ง ในที่สุดเขาเลือกที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อทำอะไรสักอย่างในชีวิตให้ประสบความสำเร็จ

        เขาตั้งใจว่าถ้าเขาจะตาย เขาก็อยากจะตายในแบบที่ได้ลองพยายามเป็นใครสักคน และทำบางสิ่งบางอย่างที่มีค่าด้วยชีวิตที่เหลืออยู่น้อยนิดของเขา

        เขาลุกจากเงาไม้ มุ่งหน้าไปยังธนาคารในเมือง เพื่อขอยืมเงินจำนวน 87 ดอลลาร์จากเช็คประกัน
สังคมฉบับต่อไปของเขา ด้วยเงิน 87 ดอลลาร์นั้น เขาซื้อกล่องเปล่าและ ไก่จำนวนหนึ่ง

       จากนั้นเขาก็กลับไปที่บ้านและลงมือทอดไก่ที่ซื้อมาด้วยสูตรพิเศษที่เขาได้คิดค้นขึ้นมาในช่วงหลายปีที่ทำงานที่ร้านกาแฟนั้น

       เขาเริ่มขายไก่ทอดของเขาตามบ้านต่างๆ ในเมืองคอร์บิน รัฐเคนตั๊กกี้ของเขา

       แล้วคนขายไก่ทอดอายุ 65 ปีคนนั้นก็กลายมาเป็นผู้พันฮาร์แลนด์ แซนเดอร์ส ราชาผู้เป็นที่รักของอาณาจักร Kentucky Fried Chicken หรือที่เรารู้จักกันในนาม KFC นั่นเอง


        ตอนอายุ 65 ปี เขาเป็นเหมือนอนุสรณ์แห่งความล้มเหลวที่ยังมีชีวิต แต่ในวัย 85 ปี เขาก็กลายเป็นเศรษฐีพันล้านและมีชื่อเสียงไปทั่วโลก มีผู้คนให้เกียรติเขาทั่วประเทศ

        เรื่องราวชีวิตของผู้พันแซนเดอร์ส เป็นอีกบทหนึ่งของเรื่องราวความสำเร็จ ที่ได้รับคำยกย่องจากผู้คนทั่วโลก แต่ใครจะรู้บ้างว่าหากใต้ต้นไม้วันนั้น ผู้พันแซนเดอร์สได้ทำตามที่เขาตั้งใจไว้แต่แรก ตำนานไก่ทอดสะท้านโลกก็คงจะไม่มีให้เราได้เห็นกัน

       จริงอย่างที่เขาว่า

       ความสำเร็จกับความล้มเหลวห่างกันเพียงแค่พลิกฝ่ามือ

       มันอยู่ที่ว่าคุณเลือกที่จะ "สู้ต่อ" หรือ "ยอมแพ้"

คำสำคัญ (Tags): #kfc
หมายเลขบันทึก: 253694เขียนเมื่อ 5 เมษายน 2009 21:41 น. ()แก้ไขเมื่อ 16 มิถุนายน 2013 00:39 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (17)

ขอบคุณค่ะ ที่ให้ข้อคิดดีๆ ขอให้ท่านและผู้พันฮาร์แลนด์ จงเจริญ

ฝากดูแลเพื่อนด้วยนะคะ ที่วังควง พรานกระต่ายค่ะ สุภาวดี ราวัลค่ะ ขอบคุณค่ะ

มายิ้มๆ ขอรายงานตัวค่ะ พร้อมแล้วสู้เลยเพื่อนๆ บอกผู้การเปลวเทียนว่าข้าพเจ้าพร้อมแล้ว..ลุย อิอิ

สวัสดีค่ะ

วันนี้โชคดี

ได้ฟังเรื่องราวโดยละเอียด

ทำให้มีกำลังใจ

และมีแรงที่จะทำสิ่งที่ยังทำไม่สำเร็จค่ะ

ขอบคุณมากๆค่ะ

ไม่ใช่แต่ให้ข้อคิดสำหรับการเสนอวิทยฐานะนะคะอาจารย์

บุคคลอื่นๆก็ได้ข้อคิดนะคะ  ใครจะคิดว่าอายุที่ถ้าเป็นข้าราขการก็ถือว่าเลยเกษียณไปแล้ว   ไม่มีใครคิดตั้งต้นเมื่ออายุเลยเกษียณกันหรอกนะคะ  (ปัจจุบันเราให้โอกาส เออรี่  รีทาย  ไม่แน่นะคะ  คุณอาจเป็นหนึ่งในโลก)

ตรงจุดนี้ให้ข้อคิดว่าไม่มีคำว่าสายหรือช้าเกินไปสำหรับการที่จะประสบความสเร็จในชีวิต

จะจำไว้เตือนตัวเองค่ะถ้าทำอะไรแล้วใช้เวลานานๆ  จะไม่ยอมแพ้หรือท้อค่ะ  ขอบคุณค่ะอาจารย์สำหรับเรื่องดีๆข้อคิดดีๆ

อ่านแล้วไม่ได้คิดอะไรนะคะ
ไม่ได้อิจฉาคะอะไรสักนิดเลยคะ

แต่มีสิ่งที่คิดอยู่กลับเป็นเรื่องของวัตถุนิยมคะ
เราไปยกย่องคนนี้ทางวัตถุนิยมตอนเขาอายุ 65 ปี ขึ้นไป

แต่เราไม่ได้คิดเลยว่าเมื่อเขามีช่วงอายุระหว่าง 1-64 ปี นั้น
เขาทำอะไรบ้าง ทำไมช่วงนั้นจึงผิดหวังล้มเหลวมาโดยตลอด
เขาทำอะไรอยู่บนหลักการหรือไม่ เขาเป็นคนดีมีคุณธรรมหรือไม่
ไม่มีใครสนใจเรื่องเหล่านี้เลย มันเป็นเรื่องผิดปกติที่คนล้มเหลวมาตลอดชีวิต
มีใครใส่ใจค้นหาเรื่องราวเหล่านี้หรือไม่

ทุกวันนี้คนเรามองแค่วัตถุนิยมจริงๆคะ
ขออภัยนะคะที่คิดนอกกรอบ

ตอนนี้กำลังสนใจเรื่องทำอย่างไรที่จะสร้างจิตสำนึกด้านคุณธรรมและจริยธรรมให้คนในชาติอยู่คะ

  • ข้อคิดที่แหลมคมมากค่ะ
  • มาร่วมแบ่งปันพลังปัญญาด้วยค่ะ ขอบพระคุณค่ะ

ยินดีที่รู้จักครับ คุณชนิศา ยินดีที่จะดูแลเพื่อน เอาอย่างนี้ดีไหม ให้เขาสมัคร GTK ด้วย จะได้ดูแลอย่างใกล้ชิดไง

ขออภัยตอบช้า เพราะคืนนั้นเอาลงบล็อกเสร็จ ก็ปิดเครื่องแล้วขึ้นรถไปสถานีขนส่ง เช้าถึงกรุงเทพฯ บ่ายโมงขึ้นเครื่องที่ดอนเมือง ขณะนี้ใช้ cat cdma ที่สุราษฎร์ธานี ครับ

ขอบคุณครับ krutoi

ยอมรับว่า อ่านที่ krutoi เขียนแล้ว ยิ้มอยู่นานหลายนาที

เอ้า...ลุย รีบๆ หน่อยเพราะได้ข่าวมาว่า การยื่นในเดือนเมษายนนี้ จะเป็นรุ่นสุดท้ายที่จะมีเยียวยา ตุลาคมก็จะใช้หลักเกณฑ์ใหม่

ทุกคน...สู้...ตามครูต้อยไปข้างหน้า ผู้การเปลวเทียนจะถือธงเชียร์อยู่ด้านหลัง ฮิฮิ

ยินดีที่รู้จักครับ ตันติราพันธ์

นักจิตวิทยาบอกว่า ชีวิตอยู่ได้ด้วยความหวัง คนที่ฆ่าตัวตายเพราะเขาไม่มีความหวัง ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม

ขอเป็นกำลังใจสู้ ๆ ๆ ครับ

ไชโย......เมื่อไม่ท้อ ก็ต้องได้บ้านสวยพร้อมสวนงามด้วย จริงไหมครับ คุณดุจดาว

ความฝันต้องเป็นจริงสักวัน ถ้าเราไปตามฝันให้ถึงที่สุด....เหมือนโฆษณาเหล้านอกยี่ห้อหนึ่งว่า "เพียงคุณหยุดเดิน..... คุณก็ถอยหลังแล้ว"

เอ้า...เดิน เดิน เดิน ฮิฮิ

ยินดีที่รู้จักครับ คุณวลัยลักษณ์

เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ ที่จะ "สร้างจิตสำนึกด้านคุณธรรมและจริยธรรมให้คนในชาติ"

เราต้องช่วยกันครับ

เรื่อง KFC เป็นเรื่องอเมริกันชน เขายกย่องคนของเขา เรื่อง "บะหมี่น้ำหนึ่งชาม" (ไม่ทราบว่าคุณวลัยลักษณ์อ่านหรือยัง อยู่ในบล็อกนี้ก็มีให้อ่านครับ ฮิฮิ) เป็นเรื่องคนญี่ปุ่นสร้างจิตสำนึกให้รักกัน เห็นอกเห็นใจคนอื่น ยังมีเรื่องของคนเกาหลี คนเวียดนาม ฯลฯ ที่เขานำมาเผยแพร่ให้คนในชาติเขารักกัน เห็นใจกัน และมีกำลังใจในการสู้ชีวิต

คนไทยเราก็มี แต่นานมาแล้ว ที่ผมจำได้ ก็มีประวัติ "สมเด็จโต" เป็นเด็กวัดหิวมาก ขณะที่อาบน้ำในเจ้าพระยา เห็นแตงโมลอยน้ำมา ก็ฉวยดำลงไปกินใต้น้ำ

เรามาเริ่มที่เด็กของเรา ให้เขามีมานะ อดทน รักและเห็นอกเห็นใจคนอื่น ความสุขที่แท้จริงจะเกิดกับเราแน่นอนครับ

ขอบคุณครับ Sila Phu-Chaya

ขอบคุณสำหรับกล้วยไม้แสนสวยด้วยครับ

จะไปเี่ยี่ยมชมดอกไม้ที่บล็อกนะครับ

แวะมาอีกครั้งเพราะเพลินหัวใจ ช่วยกันเป็นกำลังใจให้ครูไทยก้าวทัน ไปทัน กันนะคะ

อีกไม่นานครูสอนภาษาอังกฤษจะกเรียกอบรมอีกแล้ว ให้เขียนแผนการสอนใหม่

ครูต้อยวิ่งไปซื้อมานานก่อนปิดเทอมหลายเดือน ยังอยู๋ที่หัวเตียงเลย ดูเหมือนจะถอยไปอยู๋อันดับ 10ของกองหนังสือแล้ว ใกล้ๆจะหลุดแฟรม อะๆๆๆ

สารภาพว่าเบื่อนะคะ ไม่อยากวิ่งตาม แต่ก็ขี้เกียจนำหน้า เหนื่อยและกินลม แต่ไม่ท้ออะไร เพราะไม่มีอะไรจะให้ท้อ มาชวนเพื่อนๆครูในแวดวงของผู้การเปลวเทียนวิ่งค่ะ ต้องวิ่งแล้ว

ดีใจครับ ที่ครูต้อยมาอีกครั้ง เห็นด้วยครับว่า ต้องวิ่งแล้ว

เอ้า.....วิ่ง หน้า วิ่ง เฮ้..........

หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ท่านชื่นชมครูว่า

ศิลปินสิ้นฝีมือมิสามารถ
ที่จะวาดภาพงามกว่านี้ได้
คือภาพเด็กกำลังเจริญวัย
กับครูที่อิ่มในวิทยา

คำว่า "อิ่มในวิทยา" คงมิได้หมายความว่า ฉันอิ่มแล้วขอนอนละนะ ฮิฮิ ฮ่าฮ่า

ให้กำลังใจตนเองดีคะ  บทความนี้สอนให้รู้ว่า อะไรก็ยังไม่สายเกินไปที่จะเริ่มต้น  แม้ว่าอายุมากแล้ว  แต่กำลังใจยังพอที่จะสู้อยู่อีกต่อไป

 

แล้วใครบางคนหละคะ  ยังไม่แก่เลย  อย่าท้อถอยไปก่อนนะคะ

นิทานเรื่องนี้  สอนให้รู้ว่า  ถึงแก่ แต่ก็ยังมีไฟอยู่  คริ  คริ..    ตะแนว

ตาเริ่มลายแล้ว    ฝรั่งเขายกย่องกัน  เราเลยคิดว่าดี  คิดว่าเป็นอุทาหรณ์บางอย่างได้  แต่บางอย่าง ก็ไม่น่าเอาอย่าง มันจึงเหมือนนิทานปรำปรา

 

               (  ไปตรง อ่านเม้นท์  คนตอบที่ 6 สะใจดังเขาว่า)

 

วันนี้เสียเวลาไปกับการฝึกทำบล็อกใหม่  สังเกตดีๆนะ  บล็อกเปลี่ยนใหม่แล้ว  แต่เป็นสีเทา  ชอบสีน้ำเงินเหมือนเดิม  แต่ไม่เป็นไร  ทำให้รู้ว่าทำเป็น

 

แล้วยังมีฝึกอะไรอีกหลายอย่างอยู่นะ แต่ไม่ทำ เพราะยังไม่จำเป็น

เดี่ยวตอนนี้  จะย้อนรอยไปอ่าน คำตอบ  (ถามจริงเถอะ ถ้าไม่ได้ตอบกันซักวัน  จะเป็นไรไหม  แต่มันเหมือนขาดอะไรไปจริง  เราบ้าหรือเปล่า แล้วมีคนบ้าเหมือนเราไหมเนี่ย   ดูนะจะมีคนตามมาแสดงอีกกี่คน)   

บล็อกเปลี่ยนใหม่แล้ว เป็นสีเทา

ครับ.. จะไปเยี่ยม รอเดี๋ยว รอเดี๋ยว

ฮิฮิ

ไม่ได้ตอบ ก็ไม่ได้พิมพ์นะซีครับ.. ฮิฮิ

บ้า ก็ บ้าซิวะ (ชื่อหนังตลกฝรั่ง สนุกมาก..ฮ่าฮ่า)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท