Ghasa – tatopani


เดินเลียบไหล่เขา ข้ามสะพานแขวนต้องรอให้ฝูงลาเจ้าถิ่นข้ามไปก่อน ผ่านหมู่บ้านเล็กๆ PAIPO THAPLA ไปถึง KOPCHE PANI มีบ้านหินสีขาวประตูหน้าต่างสีแดง มีต้นซากุระอยู่ใกล้ๆ เหมือนญี่ปุ่นเลย สวยมากๆบรรยากาศเงียบสงบ นั่งรอเพื่อนๆที่นี่บนแท่นหิน เกือบทุกหมู่บ้านจะมีที่นั่งเป็นแท่นหินยาว สำหรับพักเหนื่อยของคนที่แบกของมาเพราะว่าระยะการวางของหรือแบกของจะพอดีกับที่นั่ง เป็นภูมิปัญญาที่ชาญฉลาดของชาวบ้าน และยังป้องกันภาวะปวดหลังได้ดี ไม่ต้องก้มๆเงยๆให้ปวดหลัง

            เมื่อคืนมาถึงค่ำ   มองไม่เห็นอะไร    Ghasa เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่จริงที่ผ่านมาก็เป็นหมู่บ้านเล็กๆคล้ายๆกัน มีทหารวิ่งผ่านหน้าโรงแรมเป็นขบวน พี่ทหารวิ่งขึ้นเขากันเป็นระเบียบ มีเด็กๆมาวิ่งเล่นไม่กี่คน    เมื่อพวกเราแจกลูกอมเด็กมากันมากขึ้น   วันนี้เดินทางไป tatopani

                    ชายหนุ่มคนเมื่อคืนส่งยิ้มหวานมาให้   ฉันรีบเรียกให้มาถ่ายรูปคู่ด้วย   มีอาการเขินเล็กน้อย    ฉันตั้งคำถามว่าอายุเท่าไร (คงไม่น่าเกลียดนะ)     เสียงตอบว่า 12   แล้วทำไมพูดภาษาอังกฤษเก่งฉันถามต่อ   พ่อหนุ่มน้อยบอกว่าครูที่โรงเรียนสอน    โฮ...เก่งจังเลย   เขาชื่อ  Riresh thapa   เรียกยาก...

             ก่อนออกเดินทางภูวันหา Bamboo gear มาแจก ถ้าที่บ้านฉันเห็นอันเล็กๆแบบนี้ไม่เรียกไม้ไผ่   เรียกไม้รวก   อันกำลังเหมาะมือ ช่วยในการเดินทางได้มากทีเดียว    หนุ่มน้อย Riresh บอกว่าเขาเป็นคนหามาให้ guide    ฉันรีบขอบคุณ  

            เดินเลียบไหล่เขา  ข้ามสะพานแขวนต้องรอให้ฝูงลาเจ้าถิ่นข้ามไปก่อน ผ่านหมู่บ้านเล็กๆ PAIPO THAPLA   ไปถึง KOPCHE PANI มีบ้านหินสีขาวประตูหน้าต่างสีแดง มีต้นซากุระอยู่ใกล้ๆ เหมือนญี่ปุ่นเลย สวยมากๆบรรยากาศเงียบสงบ   นั่งรอเพื่อนๆที่นี่บนแท่นหิน   เกือบทุกหมู่บ้านจะมีที่นั่งเป็นแท่นหินยาว   สำหรับพักเหนื่อยของคนที่แบกของมาเพราะว่าระยะการวางของหรือแบกของจะพอดีกับที่นั่ง   เป็นภูมิปัญญาที่ชาญฉลาดของชาวบ้าน และยังป้องกันภาวะปวดหลังได้ดี     ไม่ต้องก้มๆเงยๆให้ปวดหลัง    

                 ข้ามสะพานแขวนแล้วเดินอีกไม่ไกลพบน้ำตกขนาดใหญ่   ตกจากภูเขาสูงประมาณ 500 เมตร  สายน้ำแตกซ่านลงมากระทบโขดหินเป็นระยะๆน้ำไหลลงมาเต็มผืนน้ำตก  เสียงของน้ำตกดังเรียกคนเดินทางให้หยุดดูแหงนคอตั้งบ่าเพื่อมองต้นน้ำด้านบน    ใหญ่โตและมีเสียง  ไม่รู้ว่ามีชื่อน้ำตกหรือเปล่า  เรียก  RUPSE CHHAHARA   Waterfall   ตามชื่อหมู่บ้านก็แล้วกัน

             เดินต่อไปตามไหล่เขา   ด้านล่างเป็นหุบเหวมีลำธารขนาดใหญ่  เสียงไหลของน้ำดังอื้ออึง   เดินมาเรื่อยๆ มองเห็น Annapurna I   ด้ายซ้าย พื้นที่เดินเป็นหินสลับทรายที่มีวาวยามต้องแสงแดด   เดินต่ออีก 30 นาทีถึงหมู่บ้าน Daha ภูวันจะล่วงหน้าไปสั่งอาหารให้ก่อนแล้วจะทำเครื่องหมายไว้ให้  

             ทางเข้าหมู่บ้านนี้คลาสสิก   เป็นกำแพงหินสูงประมาณศีรษะสองด้านหินเรียงเป็นก้อนๆสวยงามมาก    เดินไปประมาณกิโลน่าจะได้ถึง Kabin guest house     สถานที่ร่มรื่นมีต้นส้มออกลูกเต็มต้นน่ากินมาก    น้ำส้มสดๆ เปรี้ยวไปนิด   ระหว่างรออาหารแน้ตเอามะนาวที่ซื้อมาระหว่างทางมาให้พวกเราดูกันลูกเล็กกว่าส้มโอนิดเดียว   คนขายยืนยันว่าคือมะนาว แล้วพวกเราก็ผ่าดู   เปรี้ยวมากๆ กินแทบไม่ได้   ชิมให้รู้ว่าเป็นไง  

                   มองออกไปจากร้านเห็นภูเขาหิมะสวยงามมาก    อิ่มแล้วออกเดินทางต่อไป tatopani   ภูวันบอกว่า tato แปลว่า ร้อน     paniแปลว่า น้ำ  พวกเราจะไปแช่น้ำร้อนที่นั่น    ประมาณชั่วโมงกว่าก็เดินถึง   เข้าพักที่ Himalaya  hotel

                ออกจากประมาณ 1 กม.ถึงบ่อน้ำพุร้อน  ซึ่งอยู่ริมแม่น้ำ  มี 2 บ่อ  นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ลงแช่ทั้งตัว  เรียกว่าอาบก็ว่าได้  ตัวแดงเชียว  พวกเราหาที่นั่งว่างๆนั่งต่อกันเป็นแถว  ฉันรองแย่เท้าลงไปต้องรีบยกแทบไม่ทัน  สมชื่อน้ำร้อนจริงๆ   แล้วค่อยปรับให้ชินกับความร้อน   นั่งห้อยขาจุ่มลงน้ำ  ชมบรรยากาศความงามของหิมาลัย  ช่างมีความสุขจริงๆ

                 พรุ่งวางแผนไว้ว่าจะเดินให้ถึง Ghorepani     แต่หลายคนเริ่มเจ็บเท้า เจ็บขา    ภูวันเป็นห่วงว่าพวกเราจะไม่ไหว    จึงเสนอให้พักกลางทางที่ shikha   จ ะได้เดินสบายๆ    นิด โบว์ล อี่ มิ้งค์   เคยผ่านประสบการณ์มาแล้วครั้งหนึ่ง    ทุกคนเห็นด้วย เพราะกลัวว่าจะไม่ได้ขึ้น poon hill ที่เป็นไฮไลท์ของทริปนี้

                วันนี้นอนพักที่ความสูง 1189 เมตร 

คำสำคัญ (Tags): #ghasa#nepal#tatopani#trek - nepal
หมายเลขบันทึก: 252629เขียนเมื่อ 1 เมษายน 2009 22:44 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 06:00 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

ขอแก้ข่าวหน่อยนะ ถึงไอ้ลูกๆ ที่เล็กกว่าส้มโอนิดเดียวน่ะ

คือเดินไปกับพี่นิดไง เห็นไอ้ต้นนี่แหละ ก็ว่าเอ.. ทำไมส้มลูกใหญ่จังหว่า

(ที่คิดว่าเป้นส้ม เพราะพวกเราเพิ่งเดินออกจาก Ghasa เลยคิดว่าต้องใช่ ต้องใช่แน่ๆ)

เลยเข้าไปหาเจ้าของ ขอซื้อสัก 2 ลูก (เจรจากันก็รู้เรื่องทีเดียว เพราะสองสาวไทย

พูดภาษาอังกฤษ ส่วนอีกสองสาวเนปาลี (รุ่นน้าหรือป้านี่ล่ะ) พูดภาษาเนปาล

อืมมม... คงรู้เรื่องกันล่ะ ถามว่าเท่าไร ก็ได้ "รอยยิ้มหวาน" มาเป็นคำตอบ

ก็เลยให้ตังค์ไป 10 หรือ 20 รูปีนี่ล่ะ สองสาวก็ทำท่าดีใจใหญ่

(เขาคงคิดเนอะ ไอ้เด็กสองคนนี้ท่าจะบ้า ซื้อไอ้ลูกๆ นี่ไปทำไรก็ไม่รู้ ฉันปลูกเอง

ยังไม่รู้จะเอาไปทำไรเลย 555...666...)

พอได้ตามต้องการ แน้ตกับพี่นิดก็รีบวิ่งไปให้ทันคนอื่นๆ แล้วเอาไอ้เจ้าลูกเหลืองๆ เนี่ยะไปอวด จนทุกคนต่างรอลิ้มรสกันถ้วนหน้า

พอกินข้าวเสร็จ ก็ถือเป็นฤกษ์งามยามดีผ่ากินซะเลย ปรากฏว่า เปลือกหนาคล้ายส้มโอ แต่ไม่หนาเท่า เนื้อก็คล้ายส้มโอแต่ไม่เยอะเท่า แต่รสชาตินี่สิ...

ทั้งเปรี้ยว ทั้งขม เหอ...เหอ... จิ้มเกลือกินได้สถานเดียว

จนถึงบัดนี้ ยังไม่ใครรู้เลยว่า ไอ้ลูกเหลืองๆ ที่หน้าตาละม้ายคล้ายส้มและมะนาวเนี่ยะมันคือลูกอะไรกันแน่...

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท