วันนี้ผมเดินทางกลับจากทัศนศึกษาที่ภาคใต้ เดินทางถึงพิษณุโลกประมาณ 11.30 น. รีบเตรียมตัวไปโรงเรียน และไปถึงโรงเรียนประมาณบ่าย 2 โมง เพราะต้องไปประชุมปิดโครงการที่รับผิดชอบ ทุกคนมาพร้อมกันยกเว้นคนที่ไม่ไปทัศนศึกษาจะมารอก่อน และมีบางคนไปอบรมทำแผนฯ
การประเมินโครงการครั้งนี้แปลกกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เนื่องจากพวกเราเอาไปทำเป็นการบ้านแล้วมาส่งเจ้าหน้าที่จัดพิมพ์ ครั้งผู้อำนวยการโรงเรียนไม่ยอมให้ทำแบบเดิม แต่ให้นำมาสรุปผลการประเมินตามวัตถุประสงค์ทีละข้อ ให้ที่ประชุมรับฟัง ผู้อำนวยการกำชับว่า "ให้ทุกคนตั้งใจฟังและช่วยกันลงความเห็นและปัญหาอุปสรรค" ผมสังเกตว่าทุกคนมีความสนใจรับฟังคนอื่นเล่าเกี่ยวกับโครงการของตนเอง และช่วยกันแสดงความคิดเห็น ทำให้ดูเป็นการง่ายกว่าที่เอาไปทำคนเดียว นอกจากนั้นคนอื่นได้เรียนรู้ร่วมกัน แก้ปัญหาร่วมกัน โครงการอื่น ๆผ่านไปด้วยดี มีอุปสรรคปัญหาทุกโครงการ
โครงการของผมชื่อโครงการฟื้นฟูสภาพจิตใจตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อภายหลังที่โรงเรียนถูกไฟไหม้ ได้ประเมินผ่านพ้นไปแล้ว 1 ปี มาทำโครงการต่อเนื่องอีก แต่ปีนี้มีอุปสรรคปัญหาที่แต่ละกิจกรรมทำได้บ้าง ทำไม่ได้บ้าง ทุกคนเสนอว่าสมควรล้มเลิกกิจกรรมเหล่านั้น หันมาทำกิจกรรมบูรณาการจากหมูเหมยซาน และดูแลโครงงานของนักเรียนในการปลูกพืชผักพื้นบ้านจำนวน 25 โครงงาน เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้อย่างมีความสุขตามระดับชั้น
ผมจึงมีความคิดว่าจะเปลี่ยนชื่อเป็น"โครงการสืบสานวิถีไทใส่ใจความพอเพียง" แทนโครงการเดิม การสรุปงานในวันนี้ทำให้ผมทำงานง่ายและเป็นระบบ ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นและผมมีโอกาสนำเสนองานได้ทั้งการพูดและการเขียนบันทึกการสรุปโครงการ
ผมมีความเข้าใจตามที่คุณเอก จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูรที่บอกว่า KM มีอยู่ในตัวของบุคคล รวมทั้งผู้อำนวยการ และพี่ครูคิมเคยบอกไว้ว่า พวกเราควรนำงานมาแลกเปลี่ยน เสนอความคิดเห็นร่วมกัน มีการตัดสินใจร่วมกัน ไม่ใช่ให้คนหนึ่งคนใดหรือเจ้าของโครงการนั่งคิดนั่งเขียนอยู่คนเดียว ต่อไปนี้ผมคงมีความมั่นใจในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันในโรงเรียนและคนรอบข้างมากยิ่งขึ้น ขอขอบพระคุณครับ
ธนัษสิทธิ์
20.15 วันที่ 30 มีนาคม 2552