วันที่ ๑๓ มี.ค. ๕๒ ผมไปประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการพัฒนางานประจำสู่งานวิจัย (R2R) ที่ศิริราช ซึ่งเป็นงานที่ไม่มีค่าตอบแทน คือไม่มีแม้กระทั่งค่าน้ำมันรถ แล้วตอนบ่ายไปประชุม คศน. ที่สวนสามพราน และอยู่ประชุมต่อในวันรุ่งขึ้นโดยที่ต้องลาประชุมสภามหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ โดยเป็นการลาการประชุมที่ให้เบี้ยประชุมสูงพอควร เพื่ออยู่ประชุมที่ไม่มีเบี้ยประชุม
ข้อความข้างบนนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะผมหัดฝึกฝนตนเองให้มองเห็น “เบี้ยประชุม” ที่ไม่ใช่เงิน แต่เป็นความสุขใจ ภาคภูมิใจ ที่ได้มีโอกาสร่วมทำงานสำคัญๆ ให้แก่สังคม งานเหล่านี้ส่วนหนึ่งคนส่วนใหญ่เขาไม่ทำ เพราะไม่มีเงินตอบแทน และคนส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสทำ เพราะเขาไม่เห็นคุณค่า หรือไม่มีโอกาสทำ เพราะไม่มีใครชวน
แต่ผมเป็นคนมีบุญ ทำกุศลมามาก จึงได้รับเชิญชวนร่วมทำงานดีๆ แก่สังคมเสมอ จนทำไม่ค่อยไหว จึงต้องเลือก ผมพยายามฝึกใจตนเองว่า อย่าเลือกโดยดูที่ผลตอบแทนเป็นเงินเข้ากระเป๋าตนเองเป็นหลัก ให้ดูที่ผลตอบแทนเชิงประโยชน์ต่อสังคม ต่อบ้านเมือง เป็นหลัก เพราะชีวิตผมพอแล้ว ในทุกเรื่อง
กล่าวอย่างนี้ อย่าคิดว่าผมหมดกิเลสนะครับ เอามาเล่าว่า ผมฝึกฝนตนเองอย่างไรเท่านั้น เป็นการเล่า life journey ไม่ใช่เล่า life achievement
ผมบอกตัวเองว่า ผมโชคดี ที่อยู่ในฐานะที่พอจะฝึกคิดแบบข้างบนได้ คนไม่มีกิน ไม่มีทางคิดแบบนี้ได้ และคนที่มีแต่ยังไม่พอ ก็คิดแบบนี้ไม่ได้ เมื่อคิดแบบนี้ไม่ได้ เขาก็ไม่มีโอกาสทำงานเพื่อคุณค่า มุ่งแต่ทำงานเพื่อมูลค่า
แต่ในบางคน ข้อความในย่อหน้าบนผิด เพราะเขามีเหลือกินเหลือใช้ แต่ก็ยังไม่พอ จึงคิดแบบที่ผมกำลังฝึกคิดไม่ได้ และไม่คิดจะฝึกด้วย คล้ายๆ เดินถนนชีวิตคนละสาย เป็นสายชีวิตแห่งความโลภ
หมายเหตุ
ข้างบนนั้นผมเขียนก่อนเข้าประชุม หลังประชุมปรากฎว่ามีเบี้ยประชุมครับ การประชุมครั้งนี้ได้ทั้งคุณค่าและมูลค่า
วิจารณ์ พานิช
๑๓ มี.ค. ๕๒
ท่านครับ เบี้ยประชุมสามารถไปบริจาคได้ครับ เช่นให้ทุนการศึกษา บริจาคให้มูลนิธิดูแลถนนหนทางให้สะอาด มูลนิธิสัตว์ป่า ฯลฯ
ขอบคุณท่านอาจารย์หมอที่กรุณาถ่ายทอดแนวคิด
และวิถีแห่งการใช้ชีวิต เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ดูเป็นตัวอย่าง
จะพยายามฝึกฝนวิธีคิด วิธีทำงานแบบนี้ดูบ้างครับ