ครั้นเมื่อถูกเขาว่ากล่าวและ "นินทา..."


ในเวลาช่วงเย็นของวันวาน (๒๒ มีนาคม ๒๕๕๒) เป็นเวลาที่วิกฤตของชีวิตโดยเฉพาะทางด้านจิตใจอีกครั้งหนึ่ง...

หลังจากที่ท่านพระอาจารย์เดินทางกลับมาจากต่างจังหวัด พอเดินทางมาถึงท่านก็ตรงเข้ามาตรวจงานการก่อสร้างที่นั่งบริเวณรอบศาลาโดยทันที

ในขณะนั้นเองมีงานในหลาย ๆ จุดที่ต้องแก้ไข ต้องเปลี่ยนแปลง ต้องทุบ ต้องรื้อ แต่ทว่าการทุบการรื้อนั้นไม่ใช่ปัญหาอะไรมากนักหรอก แต่คำพูดของเพื่อนสหธรรมิกที่มีแต่จะคอยติ คอยจับผิดนั้นทำให้เราเองแทบทนไม่ไหว

แต่เมื่อวานเย็นก็แปลกที่เราสามารถอดทนอยู่กับท่านพระอาจารย์จนเวลา ๓ ทุ่ม งานที่ต้องทุบนั้นไม่เหนื่อยเท่าไหร่ แต่เหนื่อยใจกับคำพูดคนอื่น

แปลกเน๊อะ... ปูนที่ว่าแข็ง หินที่ว่าหนัก แต่ทำไมหนอถึงเบากว่าคำพูดของคนที่เป็นเพียงแต่ "ลมปาก"

การแก้ไข การทุบ การรื้องานนั้นไม่หนักเท่ากับการคิด การท้อใจ อันเป็นความทุกข์จากคำพูดของใครต่อใคร

เวลาท่านพระอาจารย์สั่งงานนั้น เรามีหลักอยู่อย่างเดียวก็คือ "ท่านสั่งอะไรก็ทำตามนั้น ไม่ให้ขาดและไม่ให้เกิน..."

แต่ทว่าพระองค์อื่นไม่ได้ยินด้วย เขาก็จะเอาตามใจเขา ตามประสบการณ์เขา เราเองก็ต้องแข็งขัน ดึงดัน และตั้งมั่นว่า ท่านพระอาจารย์สั่งแบบนี้นะ จะไปทำตามใจตนเองไม่ได้

ด้วยเหตุนี้เอง... เมื่อต้องมีการรื้องาน ทำให้เขาเข้ามาพูดเยาะเย้ย ถากถาง ต่าง ๆ นานา

แต่นั่นก็เถอะ...สิ่งที่ทำให้เราสามารถอดทนและยิ้มสู้ต่อการกระทำที่ค่อนข้างแย่ของบุคคลรอบข้างได้ ก็เพราะเราภูมิใจที่ยืนหยัดต่อสู้ต่อ "คำสั่ง" ที่เราได้รับมา ถึงแม้นว่าท่านพระอาจารย์จะมีการแก้ไขงานเป็นบางส่วน ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้เราเดินหนี 

เมื่อคืนเราอดทนสู้ได้อย่างประหลาด ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงจะลุกเดินหนีแล้วทิ้งงานนี้ไปแล้ว

เมื่อคืนนี้ช่างเป็นโอกาสที่ยอดเยี่ยมมากที่เราจะได้ฝึกการ "ภาวนา"

การอดทนต่อคำสบประมาท การให้อภัยต่อผู้อื่น การภาวนาเพื่อลดอัตตาตัวตน การดูลมหายใจ เมื่อคืนนี้ต้องพาเหรดเข้ามาใช้กันยกใหญ่

เหตุการณ์เมื่อคืนนี้จึงเป็นบททดสอบสำคัญว่าสองปีที่เราอยู่ ณ ที่นี้ มาฝึก มาภาวนานี้ คุ้มค่า คุ้มราคากับเวลาที่ทุ่มเทไปเพื่อฝึกฝนจิตใจหรือไม่

การอดทนต่อโลกธรรมหรือการจ้วงจาบต่อบุคคลอื่นเป็นสิ่งที่ "จำเป็นต้องฝึก"

ถึงแม้นว่าเขาจะบ่น จะว่า จะนินทาเราสามวันเจ็ดวัน เราก็จะไปว่า ไปโกรธเขา ก็ใช่ที่

เพราะถ้าเราโกรธก็แสดงว่าเราโง่ เราจะไปกำหนดกฎเกณฑ์คนอื่นให้เขาพูด ให้เขาทำอะไรต่าง ๆ ให้ถูกใจเราไม่ได้

แต่เราเองสามารถควบคุม "ภาวนา" จิตใจของเราให้สงบและสุขได้ แม้กระทั่งอยู่ในสถานการณ์ที่วิกฤตได้

ดังนั้นเหตุการณ์วิกฤตนี้เองจึงเป็นโอกาสที่ประเสริฐ

โอกาสที่จะฝึกตัวเองให้อยู่เหนือโลกธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำสรรเสริญและ "นินทา"

เมื่อคืนเป็นเวลาที่มีคุณค่ามากนะ

ขอบคุณ ขอบคุณที่ว่าเรา ที่ตำหนิเรา

เพราะถ้าท่านไม่ตำหนิ ไม่นินทาเรา เรานั้นก็ไม่มีโอกาสที่จะสร้าง "บารมี.." 

หมายเลขบันทึก: 250245เขียนเมื่อ 23 มีนาคม 2009 06:45 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 20:29 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

น่ายกย่องแท้ๆ ท่าน !!!

เพราะเราเอาจิต ไปรับลมปากนั้น

เราก็เป็นบ่อย พอเคืองไปแล้ว เพิ่งเห็นตัวเองโง่แท้ โทสะเกิดง่าย

แต่ปุนเราแค่เอากล้ามเนื้อไปรับ หนักแค่ไหนเราสบาย ทำไปยิ้มไป

ท่านก็ยิ้ม ยิ้ม ๆๆๆๆ แบบที่ท่านสอนไง

และระลึกว่า เสียงเหล่านั้น อาจเป็นเสียงสวรรค์ ให้ได้แก้ไขงานให้ดีกว่า ให้ท่านได้ฝึกภาวนา จริงๆต้องขอบคุณเขากลับ เนอะ

แต่อย่างไรเสีย คราวหน้าการประชุมร่วมกัน การจดminute ออกมาให้clear ก็คงดี

ท่านจะได้ไม่เหนื่อยมาก

เอาใจช่วยท่านอาจารย์

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท