การจัดการความรู้ใน phase แรก ที่เรามุ่งเน้นเพื่อดึงความรู้ฝังลึก(tacit) ออกมา เรามุ่งส่งเสริมที่สายสนับสนุน เพราะเรามองว่าสายวิชาการ นักวิจัย ในวิถีการทำงานของเขามีระบบการแลกเปลี่ยน การถ่ายทอดความก้าวหน้าในแวดวงวิชาชีพอยู่หลายเวที เสมือนว่าการทำงานของเขามีการจัดการความรู้อยู่แล้ว เช่น เป็นนักวิจัย เขาจะมีการเอาความรู้ที่เรียนรู้ หรือค้นพบในเชิงวิชาการมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันตั้งแต่การคิดหัวข้อวิจัย ตลอดจนการนำเสนอแนวคิด เพื่อขอทุน การนำเสนอผลงานวิชาการผ่านที่ประชุมวิชาการต่างๆ การตีพิมพ์ในวารสาร กระบวนการดังกล่าวเสมือนมีการได้ถ่ายทอด ถ่ายเทความรู้อยู่แล้วในระดับหนึ่ง ซึ่งกับกลุ่มนี้เราจะทุ่มเทไม่มากนักในตอนต้น
เรามุ่งเน้นมาที่สายสนับสนุนซึ่งในระบบราชการที่ผ่านมาไม่มีรูปแบบตายตัวที่จะดึง tacit
ออกมาให้อยู่ในรูปของประโยชน์ขององค์กรที่จะได้ใช่ร่วมกัน
ก็มีบ้างในรูปของบุคคล และเป็นในตัวบางคนเท่านั้นที่ชอบสอนงานคนอื่น
ชอบแนะนำ มีอย่างไม่เป็นระบบนัก ผมคิดว่าการมุ่งเน้นที่สายสนับสนุนระยะแรกเราสามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ง่าย
สายสนับสนุนแต่เดิมไม่มีตรงนี้ถ้าลงแรงกระตุ้นตรงนี้น่าจะทำได้ไม่ยาก
จะมีความสำเร็จได้โดยเร็ว(quick win) ที่จะเป็นกำลังใจให้ผม
ให้เราและให้กลุ่มประชาคม ของเราเห็นว่าเราทำสำเร็จได้
เริ่มต้นโดยดึงสิ่งที่เราทำอยู่แล้ว ให้เห็นเป็นตัวอย่าง เช่น
“กลุ่มคุณวิภัทร”
ชุมชนผู้ดูแลระบบไอที เป็นตัวอย่างให้เห็นว่าใครก็ทำได้
พยายามนำเสนอว่าทุกกลุ่มวิชาชีพสามารถทำการจัดการความรู้ทำได้โดยไม่ยุ่งยาก
ทุกหน่วยสามารถทำไปได้ในงานประจำ
และเลือกใช้กระบวนการจัดการความรู้ผูกกับเรื่องคุณภาพ
สร้างเป็นระบบให้ฝังอยู่ในงานประจำ เราหยิบทุนเดิมที่เรามีมาใช้
คือตัวร่วมที่ทุกคณะ หน่วยงานต้องทำเหมือนกันตามแนว
QA (ตัวบ่งชี้ต่างๆ)
นำวิธีการจัดการความรู้มาช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ นำทุนเดิมที่ว่ามาผ่านกระบวนการ
Internal Benchmarking ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอนหลักๆ คือการเฟ้นหา Best practice
ในมาตรฐานต่างๆของ QA จัดเวทีให้นำเสนอ
มอบรางวัลแก่หน่วยงานที่ได้ Best practice กำหนดให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เชิงลึก (Site
visit)
มีการจัดเตรียมล่วงหน้าอย่างดีเกี่ยวกับประเด็นที่จะไปเรียนรู้
จัดทำแผนการ Site visit มีการประเมินผล การดำเนินการตามแผน
มีการจดบันทึกเป็นคลังความรู้ วนมาครบวงจรในทุกๆ รอบปี
แล้วเราก็เริ่มค้นหา Best practice ใหม่อีก
วางระบบดำเนินการเป็นวงจร ไปอย่างนี้ทุกปี
จะเห็นได้ว่าเป็นเรื่องไม่ยาก ซึ่งตัวบ่งชี้ต่างๆ
ซึ่งเป็นผลผลิตของมหาวิทยาลัยของเราก็จะมีการยกระดับความรู้
ขึ้นในทุกครั้งของการ Site
visit ต่อยอดหมุนเกลียวความรู้กัน
ยกระดับคุณภาพของงานยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ มีการทบทวนกระบวนการInternal
Benchmarking สร้างตัวกระตุ้น รวมทั้งการบันทึก
เรียกได้ว่าขับเคลื่อนคุณภาพโดยใช้กระบวนการจัดการความรู้เป็นเครื่องมือ
ผมคิดว่าเป็นการบริหารวัฒนธรรมการเรียนรู้ที่เป็นระบบอย่างหนึ่ง.