หากมีรางวัลออสก้า ในทางธรรม
กิเลส คงเอา รางวัลนี้ไปครอง
เนียน จริงๆ
คนเรานี่ก็แปลกนะท่าน รู้ทั้ง รู้ว่า รัก โลภ โกรธ หลง พอเป็นแล้วเป็นทุกข์
ก็ยังอยากเอา อยากเป็น
ไม่เข้าใจเล้ย
บางทีก็โง่ ตกเป็นทาสกิเลส
บางทีพอรู้ตัวมีสติ เห็นตัวเองโง่ ก็สว่าง
ไม่มีไรน่าเอา น่าเป็น ทำไม๊ จึงยากเย็นงี้ ยึดไว้อยู่นั่น จิตหนอจิต
บ่นอีกแระเรา เห็นจิตที่กำลังคร่ำครวญ บ่น
เอาเวลาบ่น มาปฎิบัติ ตามดูรุ้กายใจ ศึกษาธรรมะดีกว่า
สาธุ
ท่านกล่าวถูก
ใจเสีย อารมณ์เสียนั้นก็เป็นเรื่องธรรมชาติ แต่เป็นธรรมชาติของคนที่ไม่ได้ฝึก บำเพ็ญเพียร ภาวนา
(ที่มาจากบันทึก รถเสีย ใจต้องไม่เสีย... )
คนเราบางครั้งจะตั้งใจปฏิบัติธรรม จะละ จะปล่อย จะวาง ก็กลัวจะ "เสียรส เสียชาด"
เพราะคิดว่ารูป เสียง กลิ่น รสต่าง ๆ ที่เคยได้สัมผัสแล้วนั้นดีแล้ว
ถ้าปฏิธรรมไปมาก ๆ กลัวจะเสียความสุขจากความรู้สึกที่เคยคิดว่าสุขนั้น ๆ
บางครั้งไม่กล้าจะทำความเพียรมากก็เพราะ "กลัวจะนิพพาน"
กลัวเหนื่อย กลัวป่วย กลัวง่วง กลัวร่างกายรับไม่ไหว อย่างนี้ก็เรียกว่า "กลัวจะนิพพาน"
จะสงบจิต สงบใจ ก็กลัวว่าจะไม่สุข ไม่ได้เพลิดเพลินไปตามความคิด ความฝัน
จะบอกก็บอกยาก ว่ารสชาดที่จักได้พานพบจาก "ความสงบ" ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติธรรมนั้นเป็นเช่นไร เพราะสิ่งเหล่านี้เป็น "ปัจจัตตัง" รู้และเห็นได้ด้วยตนเอง
ไม่มีใครบอกได้ ไม่มีใครเล่าให้ฟังได้ ต้องทำเอง รู้เอง
เดี๋ยวนี้คนทำน้อย ปฏิบัติน้อย แต่รู้มาก และพูดมาก
คนยิ่งรู้มาก มักจะพูดมาก
ถ้ารู้จริง รู้แจ้งก็ดีไปอย่าง
แต่ถ้าดีแต่รู้จำล่ะก็ แย่เลย
แต่นั่นก็เถอะ... ไม่ใช่สาระสำคัญอะไรมากนักกับชีวิตและจิตใจของบุคคลอื่น ที่เขาจะเป็นจะไปตามกรรมหรือการกระทำของเขา
สิ่งสำคัญ จำเป็นอย่างเร่งด่วนของเราในวันนี้ เวลานี้ก็คือ ปลดเปลื้องความโลภ ความโกรธ และความหลงออกไปจากใจของเราเอง
ทำดี ทำให้ไว ต้องทำดี ทำได้ ทำไว้สำหรับใจของเราเอง...