บทพิสูจน์สัจจธรรม : นักวิจัยอเมริกายืนยันความถูกต้องของวัจนะท่านนบี


แท้ที่จริงแล้วทั้งการทุ่มเทงบประมาณอันมหาศาลและการใช้ความรู้ความสามารถเพื่อค้นคว้าวิจัยข้อมูลความเป็นจริงทางวิทยาศาสตร์ของเหล่านักวิจัยชาวอเมริกากลุ่มนี้ พวกเขากลับกำลังทำงานอันยิ่งใหญ่อันหนึ่ง (ที่พวกเขาเองก็ยังไม่รู้ตัว) คือการพิสูจน์ความถูกต้องของคำพูดของท่านศาสดามุฮัมหมัด (ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน) ที่ท่านกล่าวเอาไว้ (ตั้งแต่ 1400 กว่าปีมาแล้ว)

 

  นักวิจัยอเมริกายืนยันความถูกต้องของวจนะท่านนบี...

โดยที่เขาไม่ทันรู้ตัว !

 

         
       

 อันสืบเนื่องมาจากที่เมื่อไม่นานมานี้ นพ.นิพนธ์ โพธิ์พัฒนชัย รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ได้ออกมาเผย กรณีพบน้ำแข็งหลอดยี่ห้อหนึ่ง ปนเปื้อนเชื้อโรค ทั้ง อี.โคไล (E.coli)และจุลินทรีย์ซาลโมเนลล่า (Salmanella) ตัวการอาหารเป็นพิษ ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคนั้น  ท่านรองเลขาธิการฯ ยังกล่าวต่อไปในรายละเอียดอีกว่า "อี.โคไล เป็นเชื้อแบคทีเรีย ที่พบได้ทั่วไปในทางเดินอาหารของสัตว์เลือดอุ่นและคน ซึ่งมีหลายสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดโรคและเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วย การปนเปื้อนมักพบทั่วไปในอาหารดิบ หรือปนเปื้อนไปกับอาหารที่ปรุงแล้วด้วยการใช้มือสัมผัส หรือติดไปกับภาชนะบรรจุ หรืออุปกรณ์ หรือน้ำที่ไม่สะอาด เมื่อรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อตัวนี้เข้าไป จะมีอาการท้องเสีย อุจจาระเหลว การพบเชื้อในอาหารนี้แสดงว่าอาหารมีการปนเปื้อนอุจจาระและมีการผลิต ปรุง หรือเก็บรักษาอย่างไม่ถูกสุขลักษณะ สำหรับซาลโมเนลล่า เป็นเชื้อจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษ หากเข้าสู่ร่างกาย 6– 36 ชั่วโมง จะทำให้เป็นไข้ ปวดศีรษะ ท้องเดิน อาเจียน ถ้าเป็นเด็กอ่อนหรือผู้สูงอายุ อาจมีอันตรายถึงเสียชีวิตได้..."

       ซึ่งในเบื้องต้นก็ไม่ได้แปลกใจอะไรนักเพราะข้อมูลเหล่านี้เป็นเนื้อหาวิชาการที่มีการบอกเอาไว้แล้วโดยละเอียดในตำราวิชาทางการแพทย์ เพียงแต่ทาง อย.ทำหน้าที่มาประกาศให้ประชาชนได้รับทราบโดยทั่วกัน

.....แต่แล้ววันต่อมาก็มีสิ่งที่ทำให้ผมต้องแปลกใจและให้ความสนใจในประเด็นการปนเปื้อนของเชื้อโรคเหล่านี้ (E.coli และ Salmonella)ในภาชนะที่บรรจุอาหาร ....ผมบังเอิญได้อ่านเจอในหนังสือพิมพ์ (นสพ.ไทยรัฐ  ฉบับวันพุธที่ 16 เมษายน พ.ศ.2551 -หน้า 7) ในคอลัมน์ "ทันโลก" เรื่อง "ค้นหายาฆ่าเชื้อโรคจากดินโคลน  พบมีแร่ธาตุปะปนอยู่หลายร้อย"  โดยผมขออนุญาติยกเนื้อหาทั้งคอลัมน์มาดังนี้


      "นักวิจัยอเมริกาได้พบว่าแร่ธาตุที่พบในโคลนหลายชนิด อาจเป็นยาต้านเชื้อรา โดยเฉพาะพวกเชื้อดื้อยาอันตรายที่ก่อการอักเสบและโรคภัยร้ายแรงอื่น ๆ....พวกเขาแจ้งว่า แร่ธาตุที่พบในโคลนเหล่านี้สามารถจะใช้เป็นครีมหรือขี้ผึ้งทาตัว โดยไม่ต้องใช้แบบยาฉีดปฏิชีวนะธรรมดา เพราะเราได้พบในการศึกษาว่า มันมีสรรพคุณในการปราบพวกแบคทีเรียอันตราย พวกที่ทำให้ผิวหนังอักเสบและทำให้อาหารเป็นพิษหลายชนิด


      ดร.ลิลดา วิลเลียม นักธรณีเคมีวิทยา มหาวิทยาลัยอริโซนาสเตท หัวหน้าคณะวิจัยกล่าวว่า "โคลนอาจจะเปรียบได้กับห่อยาชุดห่อเล็ก ๆ เพราะมันมีแร่ธาตุผสมปนเปกันอยู่เป็นเรือนร้อยบางอย่างก็เป็นคุณ และบางอย่างก็อาจเป็นโทษ เรามีวัตถุประสงค์ต้องการจะดูว่าธรรมชาติอาจทำอะไรได้บ้าง และหาวิธีที่จะฆ่าแบคทีเรียที่เป็นอันตรายที่ดีขึ้น"


      คณะของเขาได้ทดสอบตัวอย่างดินโคลนกับแบคทีเรียที่รู้จักว่าทำให้มนุษย์เป็นโรคขึ้นได้หลายอย่าง แบคทีเรียเหล่านี้ได้แก่แบคทีเรียทำให้เกิดโรคกินเนื้อมนุษย์  รวมทั้งเชื้อ อี.โคไล (E.coli) และซาลโมเนลลา (Salmonella) ซึ่งทำให้อาหารเป็นพิษ และก็ต้องระวังว่า ดินโคลนทั่วไปก็อาจจะเป็นอันตรายได้ เนื่องจากมีแร่ธาตุที่เป็นพิษอย่างสารหนูและปรอทปนอยู่".

      ครับ...จะไม่ให้ผมผมต้องแปลกใจและให้ความสนใจในประเด็นการค้นพบของนักวิจัยว่าน้ำดินโคลนสามารถเป็นยาฆ่าเชื้อโรคที่ก่ออันตรายต่อมนุษย์ได้ไง.....ก็ในเมื่อแท้ที่จริงแล้วทั้งการทุ่มเทงบประมาณอันมหาศาลและการใช้ความรู้ความสามารถเพื่อค้นคว้าวิจัยข้อมูลความเป็นจริงทางวิทยาศาสตร์ของเหล่านักวิจัยชาวอเมริกากลุ่มนี้ พวกเขากลับกำลังทำงานอันยิ่งใหญ่อันหนึ่ง (ที่พวกเขาเองก็ยังไม่รู้ตัว) คือการพิสูจน์ความถูกต้องของคำพูดของท่านศาสดามุฮัมหมัด (ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน) ที่ท่านกล่าวเอาไว้ (ตั้งแต่ 1400 กว่าปีมาแล้ว) ว่า
    "การทำความสะอาดภาชนะของคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเจ้าเมื่อสุนัขเลียนั้นให้ล้าง 7 ครั้ง ครั้งแรกล้างด้วยน้ำดิน" (รายงานโดย อะฮฺหมัดและมุสลิม) 

       ภาพเบื้องหน้าของชาวตะวันตกที่เราพบอยู่ทุกวันนี้คือความพยายามจะโจมตีอิสลามในรูปแบบอันหลากหลาย อย่างกรณีล่าสุดที่เขาพยายามวาดภาพล้อเลียนท่านศาสดามุฮัมหมัด (ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน) เพื่อทำให้ท่านดูเหมือนเป็นตัวตลก....แต่แท้ที่จริงแล้วพวกเขาหารู้ไม่ว่าวิชาการความรู้ทั้งหลายทางวิทยาศาสตร์ที่พวกเขาทุ่มเทงบประมาณใช้ความพยายามศึกษาค้นคว้าอยู่นั้น กลับเป็นสิ่งที่มาช่วยเปิดเผยและยืนยันความเป็นจริงของสิ่งที่พวกเขาเคยปฏิเสธมันทั้งอัลกุรอ่านและอัลฮาดิษ....
   
       ประสบการณ์หลาย ๆ อย่างที่ผ่านมาบ่อยครั้งที่เราพบว่าแม้พวกเขาพยายามจะหาทฤษฏีหรืองานวิจัยต่าง ๆ มาลบล้างคำสอนของอิสลามมากเท่าไร  แต่สุดท้ายคำตอบที่เขาได้รับกลับได้ตรงข้ามชนิดที่เขาก็ปฏิเสธมันไม่ได้....... แล้ววันหนึ่งพวกเขาก็จะได้รู้ว่า  "ยิ่งพวกเขาวิ่งหนีอิสลามมากเท่าใด แต่อิสลามกลับยิ่งอยู่ไกล้เขามากเท่านั้น"

วัลลอฮุอะห์ลัม.
(Allah almighty knows best)

บทความโดย

 

 เสวนาเหล่าพลปีกจันทร์เสี้ยว / บทความน่าอ่าน / นักวิจัยอเมริกายืนยันความถูกต้องของวจนะท่านนบี......

เมื่อ: เมษายน 27, 2008, 11:17:23 PM

หมายเลขบันทึก: 246923เขียนเมื่อ 7 มีนาคม 2009 15:05 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 05:31 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท