นานาเรื่องราวการจัดการความรู้ (๒๒)
จิระศาสตร์วิทยา จัดการความรู้
บนฐานการจัดการศึกษา “นอกกรอบกะลา”
(โปรย) โรงเรียนจิระศาสตร์วิทยา เป็นโรงเรียนที่มีการจัดการความรู้อยู่ภายในทั้งระบบโครงสร้าง และฝังแน่นอยู่กับเนื้องาน และกิจกรรมเสริมการเรียนรู้ ทั้งครู และนักเรียน ทำให้กระบวนการจัดการความรู้ยิ่งฝังลงลึกลงไปถึงผู้เรียน ผู้สอน ผู้ปกครองและชุมชน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มายาวนาน โดยที่ผู้ปฏิบัติและผู้บริหารก็ไม่รู้เนื้อรู้ตัวมาก่อนว่างานประจำที่ดำเนินอยู่นั้นคือ “กระบวนการจัดการความรู้”มายาวนานกว่า 40 ปี
กว่าจะเป็นจิระศาสตร์วิทยา
โรงเรียนจิระศาสตร์วิทยามีการจัดการความรู้ในรูปแบบใดคงต้องย้อนหลังกลับไปสืบค้นถึงเจตนาในการก่อเกิด
เมื่อ พ.ศ.2502 โรงเรียนจิระศาสตร์วิทยาถูกก่อตั้งขึ้น โดย “สาวรุ่น”
ผู้มีแนวคิดปฏิรูปการศึกษาอยู่ในหัวมาโดยตลอด เธอคับข้องใจในระบบ
และกรอบในวงการศึกษาไทยมาตั้งแต่สมัยเรียนที่ไม่เปิดโอกาสให้เธอได้แสดงความคิด
ทำให้เด็กที่กล้าพูดกล้าคิดอย่างเธอต้องคับข้องใจมาโดยตลอดกระทั่งเธอจบออกมาเป็นครู
ความคับข้องใจเหล่านี้ก็ยิ่งทวีคูณเมื่อเธอกลับต้องสอนเด็กให้อยู่ในกรอบการศึกษาเดิมๆ
แต่เธอก็ทนอยู่ได้ถึง 14 ปี แล้วจึงลาออก
ประกอบกับเธอได้มีโอกาสไปศึกษาต่างประเทศได้เห็นหลักสูตรการสอนนิโกร
ของพวกผิวขาวในอเมริกาทำให้เกิดความมั่นใจที่จะตั้งโรงเรียนขึ้นมาเพื่อเป็นโรงเรียนแห่งการเรียนรู้แบบประชาธิปไตยโดยแท้
และโรงเรียนจิระศาสตร์วิทยาก็ถูกก่อตั้งขึ้นในปีนี้เอง
ปี 2513
จิระศาสตร์วิทยาลองนำหลักสูตรจากอเมริกามาใช้กับเด็กนักเรียน
โดยเริ่มจากการให้เด็กได้เรียนรู้จากของจริง พร้อมๆ
กับการเรียนรู้นอกตำรา พาเด็กนักเรียนตั้งแต่อนุบาล
กระทั่งมัธยมศึกษาโลกกว้างรอบๆ เมืองอยุธยา
เพื่อค้นหาความรู้จากของจริง
แต่ความคิดนอกกรอบแบบนี้ก็ยากนักที่จะเปลี่ยนความเข้าใจเก่าๆ
ของทั้งครูและผู้ปกครองให้เข้าใจ
ระยะนี้ทำให้ผู้ปกครองเกิดความไม่ไว้วางใจเพราะมองว่าเด็กจิระศาสตร์ทำแต่กิจกรรมมากจนเกินไป
แม้แต่พ่อค้าแม่ค้าในตลาดก็ยังเห็นครูพาเด็กอนุบาลมาเดินตลาด
ยังไม่นับรวมถึงวัดวาอาราม โบราณสถาน และโรงงาน
ที่เด็กๆที่นี่ต้องออกไปเรียนรู้ทุกวัน
เป็นเหตุทำให้ผู้ปกครองไม่ส่งบุตรหลานเข้าเรียนที่จิระศาสตร์
มีเด็กลดลงเกือบครึ่ง ทำให้ “นางจิระพันธุ์
พิมพ์พันธุ์”
สาวน้อยที่บอกตัวเองมาโดยตลอดว่าเป็นคนนอกกรอบถึงกับคิดสั้น
แต่ด้วยกำลังใจจากคนรอบข้างและเพื่อนครู
ทำให้เธอตัดสินใจสู้ต่อบนอุดมการณ์เดิม
จิระศาสตร์ต่อสู้กับความไม่เข้าใจของสังคมติดกรอบอยู่นับสิบปี
“กระทั่งศักยภาพของศิษย์ที่จบการศึกษาออกไปได้เริ่มแสดงผลงานให้สังคมเห็นว่าเด็กที่จบจากจิระศาสตร์ไปล้วนเป็นเด็กที่เรียนเก่ง
กล้าคิด กล้าทำ และมีคุณภาพไม่แพ้ใคร”
ระยะหลังจากนี้ทำให้จิระศาสตร์เป็นที่กล่าวขาน
พ่อแม่ผู้ปกครองหลั่งไหลเข้ามาฝากฝังให้จิระศาสตร์ดูเป็นพ่อแม่คนที่สอง
ไม่เว้นแม้แต่สถานศึกษาด้วยกันทั้งภาครัฐและเอกชนก็หลั่งไหลมาขอดูงานเป็นประจำกระทั่งปัจจุบัน
การจัดการความรู้ที่อยู่กับเด็กและกระบวนการสอน
กระบวนการเรียนรู้ของเด็กจิระศาสตร์ที่ส่งผลให้เด็กที่จบจากที่นี่เป็นเด็กคุณภาพนั้น
เริ่มตั้งแต่การบ่มเพาะกันมาตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล
โดยมีครูเป็นผู้กระตุ้นให้เด็กรู้จักคิด รู้จักตั้งคำถาม
และการค้นคว้าหาคำตอบที่แท้จริงด้วยตนเอง
โดยแทนที่เด็กอนุบาลจะอยู่แต่ในห้องเรียนฝึกอ่านเขียนและท่องจำ
ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ตัวเลข และทักษะการพัฒนากล้ามเนื้อตามวัย
ตามหลักสูตรแล้ว
อนุบาลจิระศาสตร์ยังต้องออกไปเรียนรู้โลกกว้างพร้อมกับทำการบ้านจากการเรียนรู้นั้นส่งครู
โดยมีเนื้อหาเรื่องประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเป็นตัวตั้ง
เช่นเมื่อเด็กได้เห็นซากปรักหักพัง
เห็นความแตกต่างระหว่างความเก่าและความใหม่ก็จะเกิดคำถาม
หลากหลายคำถาม เช่นทำไมต้นไม้ถึงขึ้นบนเจดีย์ ทำไมเจดีย์ถึงพัง
ทำไมพระถึงไม่มีเศียร เป็นต้น
ซึ่งจุดนี้เองครูจะต้องนำคำถามของเด็กเชื่อมเข้าสู่การเรียนรู้
ชักชวนให้เด็กหาข้อเท็จจริง กับผู้ที่เกี่ยวข้อง
ไม่เพียงแต่เด็กจะได้ซึมซับประวัติศาสตร์เท่านั้น
แต่เด็กอนุบาลยังได้ฝึกทักษะการเข้าหาคน จากการไปสัมภาษณ์พระ พ่อค้า
แม่ค้า และผู้ปกครองอีกด้วย
เมื่อสอนให้เด็กรู้จักการเรียนรู้ที่ไม่ใช่การท่องจำตามตำราตั้งแต่ต้นแล้ว
พัฒนาการในระดับการศึกษาขั้นต่อๆ มาก็ไม่ต่างกัน
เพียงแต่เนื้อหาการเรียนรู้จะต้องเข้มข้นขึ้นและยังแฝงไปด้วยกลุ่มการจัดการความรู้เล็กๆ
ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างการเรียนการสอน ทั้งในและนอกตำรา
การออกไปศึกษาสวนพฤกษศาสตร์ของโรงเรียนจิระศาสตร์วิทยา
เป็นอีกกระบวนการบูรณาการสาระอีกอย่างหนึ่งที่นักเรียนทุกระดับชั้นจะต้องไปเรียนรู้กันที่นั่น
ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป ทำให้สวนพฤกษศาสตร์เนื้อที่ 16 ไร่
ไม่เคยว่างเว้นจากผู้เรียนรู้วัยเยาว์ทั้งหลาย
และการมาเรียนรู้ที่นี่เอง เราได้พบเห็น “การจัดการความรู้”
ซุกซ่อนอยู่เช่นกัน
การจัดการความรู้ที่เกิดขึ้นในการบูรณาการสาระวิชาต่างๆ
ที่สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน
ในวันที่ทีมงาน
สคส. (สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม)
ไปสังเกตการณ์นั้นเป็นวันที่นักเรียนชั้น ป.6
ที่กำลังขะมักเขม้นอยู่ในฐานการเรียนรู้ทั้ง 4 ฐาน
ในสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน
โดยแต่ละฐานจะบูรณาการสาระวิชาหลากหลายวิชาเข้าด้วยกัน
ซึ่งแต่ละฐาน ก็จะมีวิชาการที่แตกต่างกันไป ฐานที่ 1
ซึ่งมีวิชาวิทยาศาสตร์เป็นแกน นักเรียนจะถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม
กลุ่มละประมาณ 5-6 คน
ทุกกลุ่มจะต้องเลือกต้นไม้เพื่อแบ่งคนออกไปสำรวจหาสิ่งมีชีวิตรอบๆ
ต้นไม้ชนิดนั้น ในลักษณะการศึกษา “สรรพสิ่งล้วนพันเกี่ยว”
แล้วมาถ่ายทอดให้เพื่อนในกลุ่มที่เหลือวาดภาพลงในแผ่นงาน
เสร็จจากฐานที่ 1 เด็กๆ ในกลุ่มจะถูกแบ่งกันกระจายไปยังฐานอื่นๆ
ที่เหลืออีก 3 ฐาน คือ ฐานที่มีวิชาศิลปะและการงานอาชีพเป็นแกน
ฐานที่มีคณิตศาสตร์เป็นแกนและฐานที่มีภาษาอังกฤษเป็นแกน
แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องเหลือคนในกลุ่มไว้ที่ฐานเดิม 1
คนเพื่อเป็นวิทยากรถ่ายทอดให้ผู้มาเยือนจากฐานอื่นๆ ว่าฐานนั้น 1
เป็นการเรียนรู้เรื่องอะไร ทั้ง 4
ฐานจะใช้วิธีการเดียวกันทำให้เด็กทุกๆ คนจะได้เรียนรู้ทุกๆแกนวิชา
ซึ่งผู้ที่เป็นสมาชิกกลุ่มแล้วออกไปเรียนรู้ฐานต่างๆ
ก็จะต้องกลับมาถ่ายทอดให้คนในกลุ่มที่ไม่ได้ไปฟังแล้วถ่ายทอดเป็นความเข้าใจในสาระวิชาลงบนแผ่นงาน
เมื่อเสร็จจากการเรียนรู้ ณ ฐานการเรียนรู้ เด็กๆ
ก็จะกลับไปสรุปงานร่วมกันที่โรงเรียนโดยมีครูอำนวยความสะดวกในการนำเสนอผลงาน
กิจกรรมนี้เป็นการบูรณาการสาระวิชาที่เด็กๆ ได้เรียนมาสู่ความเข้าใจ
เป็นการทดสอบความรู้ความเข้าใจของเด็กได้ดี
และเป็นการเชื่อมโยงสาระการเรียนรู้เข้ากันได้อย่างเข้าใจแตกต่างจากการสอนในอดีตที่ผู้เรียนก็ไม่รู้จะนำสาระวิชาไปทำอะไรต่อไป
เมื่อแต่ละสาระวิชาต่างก็แยกกันเป็นหน่วยๆ
ตัวอย่างการเชื่อมโยงสาระวิชาของนักเรียนชั้น ป.6/2
ซึ่งเรียนสาระวิทยาศาสตร์เป็นแกนถ่ายทอดผลงานลงบนแผ่นงานเป็นภาพสีเทียน
(สาระศิลปะ) สื่อถึงสิ่งแวดล้อมรอบๆ ต้นไม้ในสวนพฤกษศาสตร์
ว่ามีสิ่งมีชีวิตอะไรบ้าง
แล้วยังอธิบายถึงความเกื้อกูลกันระหว่างสิ่งมีชีวิตรอบๆ
กับต้นไม้(สาระวิทยาศาสตร์) บอกชื่อสิ่งที่เกี่ยวข้องกันต่างๆ
เป็นคำศัพท์ภาษาอังกฤษ (สาระภาษาอังกฤษ)
แล้วยังเกริ่นนำเล่าเรื่องเป็นบทกลอนที่เด็กๆ ต้องอธิบายสัมผัสต่างๆ
ระหว่างบรรทัด ระหว่างบท ในบทกลอนนั้น(สาระภาษาไทย)
ลงท้ายด้วยการตั้งโจทย์คณิตศาสตร์ไว้ให้เพื่อนๆ ได้คิด เช่น
สวนพฤกษศาสตร์แหงหนึ่งมีต้นเฟื่องฟ้า 15 ต้น มีต้นมะพร้าว 7 ต้น
มีต้นกล้วย A ต้น รวม 32 ต้น ถามว่าต้นกล้วยมีกี่ต้นเด็กๆ
ทั้งชั้นก็จะช่วยกันหาคำตอบกันท่ามกลางบรรยากาศสนุกสนาน
ความรู้ถูกต่อยอดจากรุ่นพี่สู่รุ่นน้อง
นอกจากนี้เราก็ยังเห็นการต่อยอดความรู้ระหว่างนักเรียนรุ่นพี่กับรุ่นน้องในการเรียนรู้ในสวนพฤกษศาสตร์นี้เช่นกัน
โดยด.ช.ณัฐวุฒิ นักเรียนชั้น ป.6 ซึ่งอยู่ในฐานที่ 3
เป็นฐานที่มีคณิตศาสตร์เป็นแกนโดยให้นักเรียนในฐานนี้คิดเมนูอาหารเพื่อสุขภาพทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
ซึ่งอาหารที่ทำนักเรียนจะต้องบอกถึงคุณประโยชน์และสรรพคุณในส่วนผสมที่นำมาด้วย
พร้อมทั้งบอกสัดส่วนของส่วนผสมต่างๆ เป็นปริมาตรตามหลักวิชาคณิตศาสตร์
เขาเล่าว่านักเรียนชั้น ป.6 ทำอาหารมาหลายรายการแล้ว ก่อนหน้านี้
ครูสอนให้ทำซาลาเปาซึ่งพวกตนคิดค้นให้เป็นสูตรสมุนไพร
และมีสีม่วงจากดอกอัญชัน โดยสูตรนี้พัฒนาจากสูตรซาลาเปาของรุ่นพี่ ป.6
เมื่อปีการศึกษาที่แล้ว และกำลังจะคิดทำไส้แครอทและซาลาเปาไส้สีต่างๆ
ตามมา
เมื่อถามว่าสูตรซาลาเปาไส้สมุนไพรนี้จะนำกลับไปศึกษาต่อเมื่อเลื่อนชั้นหรือไม่
ด.ช.ณัฐวุฒิ กล่าวว่า สูตรนี้จะต้องอยู่ที่ชั้น ป. 6 ต่อไป
เพื่อให้รุ่นน้องได้ต่อยอดความรู้ของรุ่นพี่เพื่อพัฒนาซาลาเปาต่อไป
ขณะที่ครูปราณี
ประวาลพฤกษ์ ครูสอนคณิตศาสตร์กล่าวว่า นักเรียนป.6 รุ่นต่อไป
ก็จะแนะนำเด็กในลักษณะว่ารุ่นพี่มีข้อมูล มีสูตรไว้ให้อย่างไร
และรุ่นน้องจะต่อยอดความรู้นี้อย่างไร
โดยที่ครูจะไม่ไปสกัดกั้นความคิดของเด็ก
หากเขาคิดอะไรได้มากกว่าซาลาเปา ครูก็จะเป็นฝ่ายสนับสนุนผู้เรียน
แต่ถ้าหากเขาเห็นว่าอยากทำซาลาเปาต่อก็อาจจะพัฒนาในส่วนอื่นๆ เช่นไส้
และส่วนผสมต่างๆ ต่อไปได้
การถ่ายทอดความรู้ระหว่างเด็กที่มีครูเป็น
“คุณอำนวย”
นอกจากนี้กิจกรรมการเรียนรู้ระหว่างเพื่อนนักเรียนด้วยกันก็มีให้เห็นทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ
อย่างในกิจกรรม child show ซึ่งซาลาเปาของนักเรียนชั้น ป.6
ได้รับรางวัลชนะเลิศในหัวข้อ “1 โรงเรียน 1 อาชีพ” มาแล้ว กิจกรรม
child show เป็นกิจกรรมที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพระนครศรีอยุธยา
เขต 1
เป็นผู้ริเริ่มจัดเป็นกิจกรรมระดับจังหวัดที่เปิดโอกาสให้เด็กแสดงศักยภาพออกมาได้อยากหลากหลายตามความถนัดผ่านสาระวิชาต่างๆ
โดยครูผู้ส่งเด็กเข้าประกวดจะต้องออกแบบสาระวิชามากกว่า 1
วิชาบูรณาการเข้าด้วยกัน เช่น การรับสมัครเด็กประถม มัธยม
ที่สนใจวิชาคณิตศาสตร์เข้าประกวดในโครงงานคณิตศาสตร์หรรษา
อันหมายถึงการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ที่สนุกสนาน
ครูผู้สอนก็จะช่วยเด็กคิดกันว่าเราจะทำอย่างไรในการนำเสนอการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ให้สนุกสนาน
โดยพวกเขาได้ประยุกต์เอาศิลปะการแสดงพื้นบ้าน อย่างลำตัดเข้ามา
การนำเสนอจึงเป็นการรำร้องลำตัด
ที่มีเนื้อหาเป็นการถามตอบโจทย์วิชาคณิตศาสตร์
พร้อมกับการสอดแทรกมุกตลกอย่างสนุกสนาน
ครูผู้สอนกล่าวว่าคณิตศาสตร์หรรษาเป็นการบูรณาการสาระวิชาเข้าด้วยกันโดยมีคณิตศาสตร์เป็นแกน
แล้วมีวิชาภาษาไทย นาฏศิลป์ ดนตรีไทย มาบูรณาการร่วมด้วย
โดยครูทุกสาระวิชาที่เกี่ยวข้องดังกล่าวจะต้องร่วมกันเป็นวิทยากรและเป็นที่ปรึกษา
ทำหน้าที่ “คุณอำนวย” (ตามภาษาของนักจักการความรู้)
คอยให้คำแนะนำกับเด็กๆ
ทั้งนี้เมื่อการแสดงของกลุ่มคณิตศาสตร์หรรษาถูกเผยแพร่ออกไป
ทำให้เด็กนักเรียนกลุ่มอื่นเริ่มหันมาให้ความสนใจ
และเกิดการเรียนรู้กันเองของเด็ก
คนที่ร้องลำตัดเก่ง ก็จะช่วยสอนเพื่อนๆ
ถ่ายทอดเป็นท่ารำให้กับสมาชิกกลุ่มคณิตศาสตร์หรรษาใหม่ๆ
ที่เข้ามาขอเรียนรู้เป็นสมาชิก อย่างไรก็ตามเมื่อ
จิระศาสตร์เห็นว่ากิจกรรม child show
เป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เด็กแสดงออกและค้นหาตัวเอง
จึงได้นำรูปแบบนี้จัดเป็นกิจกรรม child show
ขึ้นเป็นการภายในด้วย
“แม้จะดูเหมือนว่าจิระศาสตร์วิทยาจะเน้นกิจกรรม
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าความรู้ในตำราไม่สำคัญ
เพียงแต่เป็นองค์ประกอบหนึ่งเท่านั้นในการเรียนรู้ของเด็กๆ ที่นี่”
ฉะนั้นครูจึงเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการเอื้ออำนวยให้เกิดกระบวนการคิด
เรียนรู้ และหาคำตอบในเชิงปฏิบัติให้มากที่สุด
ครูจัดการความรู้ตัวเองก่อนจัดการความรู้สู่เด็ก
ทั้งนี้การที่ครูจะเป็นผู้เอื้ออำนวยที่ดีให้กับเด็กได้
การจัดการความรู้ก็ต้องเริ่มที่ครูด้วยเช่นกัน
โดยการจัดการความรู้ของกลุ่มครูนั้นจะเกิดขึ้นภายในกลุ่มต่างๆ
ที่ถูกจัดสรรไว้มากมายตามภารกิจ อาทิ กลุ่ม STAR สภาครู
กลุ่มครอบครัวสัมพันธ์ กลุ่มครูระดับสายชั้นอนุบาล ประถม มัธยมต้น
กลุ่มครูรายวิชา ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการทำงานเป็นทีม
และเชื่อมกลุ่มต่างๆ เหล่านี้บุคคลที่เป็นสมาชิกคร่อมกลุ่มต่างๆ
ดังกล่าวข้างต้น
กลุ่ม
STAR (Small Team Activity Relationship)
เป็นกลุ่มสัมพันธ์เอื้ออาทร ประกอบด้วยครูประจำชั้น ,ครูพิเศษ
จับกลุ่มกันทำงานพัฒนาเป็นทีมในระดับชั้นเดียวกัน เช่นกลุ่ม STAR ที่1
คือครูประจำชั้น ป.1/1 ,1/2,1/3 รวมครูพิเศษอีก1 คน , กลุ่ม STAR ที่
2 คือครูประจำชั้น ป.1/4, 1/5, 1/6 ... เป็นต้นโดยกลุ่ม STAR
จะมีทุกระดับชั้นส่วนบทบาทก็คือการพัฒนาคุณภาพของเด็กๆร่วมกันแบบกลุ่ม
เช่น มีเด็กคนไหนบ้างที่อ่านหนังสือไม่เก่ง กลุ่ม STAR
ย่อยแบบนี้ก็จะนัดเด็กกลุ่มนี้มาฝึกพัฒนาศักยภาพร่วมกัน
มีปัญหาก็ปรึกษาหารือกัน อย่างไม่เป็นทางการ
ซึ่งกลุ่มแบบนี้มีความกะทัดรัดแต่มีความคล่องตัวในการทำงาน
ไม่ต้องเสียเวลาเข้าห้องประชุม
เพราะจะใช้ความใกล้ชิดในสายงานเจอกันใต้ต้นไม้ก็คุยกันใต้ต้นไม้
เจอกันข้างระเบียงก็คุยกันข้างระเบียง เมื่อกลุ่ม STAR ย่อยๆ
แบบนี้พัฒนานักเรียนในสายชั้นนั้นๆให้มีศักยภาพได้ กลุ่ม STAR อื่นๆ
ก็เกิดการตื่นตัวเกิดการแข่งขันแบบกัลยาณมิตรขึ้นทำให้เกิดระบบการแข่งขันในด้านดี
ประโยชน์ย่อมตกอยู่กับนักเรียน
นอกจากนี้
กลุ่มครูแต่ละช่วงชั้น เช่นกลุ่มครูอนุบาล ครูประถม ครูมัธยม
ที่ต่างเป็นสมาชิกทีม STAR ย่อยๆ นี้ก็จะได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน
แบบข้ามกลุ่ม ที่ใหญ่ขึ้นในการประชุมระดับช่วงชั้นทุกเย็นตามตารางคือ
วันอังคารประชุมช่วงชั้นอนุบาล 1-3 ,วันพุธช่วงชั้นประถมปีที่ 1-3,
วันพฤหัสบดีช่วงชั้นประถมปีที่ 4-6, วันศุกร์ช่วงชั้นมัธยมปีที่ 1-3
โดยในการประชุมดังกล่าวเป็นไปเพื่อหารือเกี่ยวกับการพัฒนากระบวนการเรียนการสอนของครูแต่ละช่วงชั้นเพื่อพัฒนางานทางด้านวิชาการซึ่งการประชุมนี้ก็จะมีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อสรุปผลและติดตามความคืบหน้าพร้อม
ซึ่งครูใหม่ๆก็สามารถเข้ามาเรียนรู้พัฒนาการงานสอนจากแฟ้มนี้ได้
นอกจากนี้การจัดการความรู้ของครูก็ยังเกิดขึ้นระหว่างการจัดกิจกรรมของครูด้วย
เช่น กิจกรรม “Teacher show”
เป็นกิจกรรมสรุปผลการสอนของครูที่นำผลงานแสดงทั้งระดับกลุ่มและระดับปัจเจกบุคคล
ระดับกลุ่มคือการแสดงผลงานของกลุ่มสาระวิชาเช่นกลุ่มครูโครงงานวิทยาศาสตร์นำเสนอผลงานสื่อการสอน
รูปแบบต่างๆ การทำสื่อนวัตกรรม ผลงานการพัฒนาศักยภาพเด็ก
นอกจากนี้ในระดับปัจเจกก็
เป็นการเล่าถึงการนำความรู้ที่ได้มาสู่การปฏิบัติแล้วลงกับเด็กว่าลองทำอย่างไรได้ผลอย่างไร
เด็กชอบหรือไม่อย่างไร
โดยกิจกรรมนี้จะใช้ช่วงเวลาหลังเลิกสอนและวันหยุดเสาร์ อาทิตย์
โดยผลงานและความรู้รวมทั้งผลลัพท์ที่ได้จากกิจกรรมนี้จะถูกบันทึกลงในสมุดประจำตัวครู
และบันทึกลงในแฟ้มกิจกรรมเพื่อนำไปบันทึกความคืบหน้าและติดตามผลในคราวต่อไป
วิสัยทัศน์ผู้บริหารนอกกรอบ
ที่โรงเรียนจิระศาสตร์วิทยามีกระบวนการจัดการความรู้อยู่กระจัดกระจายสอดแทรกอยู่ในทุกๆกิจกรรมทั้งครูและนักเรียนแบบนี้ได้ก็เพราะผู้บริหาร
เปิดโอกาสให้ครูและพนักงาน ทุกคนนำเสนอ สิ่งที่รู้
สิ่งที่อยากทำ แล้วให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่
เพื่อให้ครูให้มีจิตสำนึก
แล้วนำวิธีนี้ไปเปิดโอกาสให้กับเด็กได้นำเสนอ
ได้พูดในสิ่งที่คิดเช่นเดียวกับสิ่งที่พวกเขาได้รับจากผู้บริหาร
ใช้หลักประชาธิปไตยดึงความรู้จากผู้มีประสบการณ์บวกกับคนที่มีความรู้ทำให้ครูวัย
70 สามารถทำงานและพัฒนางานร่วมกับครูวัย 20 ปี รวมถึงพนักงาน-คนรถ
ได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
นางจิระพันธุ์
พิมพ์พันธุ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนจิระศาสตร์วิทยา กล่าวว่า
“ปัจจัยที่ทำให้ จิระศาสตร์ฯ มีพัฒนาการที่ดี
เงินไม่ใช่เรื่องสำคัญแต่คนคือปัจจัยสำคัญที่ต้องดึงใจของคนเข้ามาร่วมงาน
โดยขั้นแรกจะต้องเปิดใจตัวเองอย่าคิดว่าเราเป็นผู้บริหารเพียงคนเดียว
ต้องให้ครูเล็กครูน้อย
กระทั่งถึงคนขับรถรู้สึกว่าเขาเป็นเจ้าของร่วมกับเราด้วย
ขั้นที่สองต้องดึงเอาคนที่มีประสบการณ์มาทำงานร่วมกับคนที่มีความรู้ทั้งใหม่และเก่าก็จะทำให้การพัฒนางานไปข้างหน้าได้ดี
และขั้นที่สาม
ต้องให้ความเป็นประชาธิปไตยกับผู้ร่วมงานอย่าทำให้เขารู้สึกว่าเรารักใครมากกว่ากันฉะนั้นการตั้งคณะทำงานทุกคณะจะมาจากการเลือกตั้งโดยครูและนักเรียนเอง”
ทุกวันนี้นักเรียนโรงเรียนจิระศาสตร์วิทยา
ยังคงออกไปศึกษานอกสถานที่เพื่อเรียนรู้นอกตำราอยู่เป็นประจำเช่นเคย
แต่ก็ไม่มี พ่อค้า แม่ค้า หรือผู้ปกครอง ร้องบ่นเช่นในอดีตอีกแล้ว
เพราะ คนที่นี่รู้ดีว่าเด็กๆ กำลังอยู่ในกระบวนการเรียนรู้
สังคมที่นี่พร้อมที่จะเป็นครูให้เด็กๆ ทุกครั้งที่ออกมาเรียนนอกรั้ว
เช่นเดียวกับนักเรียนจิระศาสตร์วิทยา
พวกเขามองเห็นครูผู้มีพระคุณอยู่รายรอบ ทั้งพูดได้และพูดไม่ได้
นั่นก็คือคนรถ พนักงาน พ่อค้า แม่ค้า ครู ผู้ปกครองและเพื่อนด้วยกัน
รวมถึงครูที่พูดไม่ได้เช่นต้นไม้ ใบ
หญ้าที่เอื้ออาทรชีวิตเพื่อการเรียนรู้ของพวกเขามาโดยตลอด .
นางจิระพันธุ์ พิมพ์พันธุ์
(ผู้บริหารต้นแบบ) สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา
ผู้รับใบอนุญาตและผู้อำนวยการโรงเรียนจิระศาสตร์วิทยา
เลขที่ 45 หมู่ 1 ถนนชีกุน ตำบลประตูชัย
อำเภอพระนครศรีอยุธยา
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 13000
โทร.035-241-559 โทรสาร 035-241-106
e-mail : [email protected]
http//www.jirasart.com
ไม่มีความเห็น