คนเราไม่ได้เกิดจากกระบอกไม้ไผ่และไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก
ฉะนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่ใครบางคนที่ “อยากทำความรู้จักเรา” จะขอว่า
รู้จักแค่เราคนเดียวได้หรือเปล่า โดยไม่ขอที่จะทำความรู้จักกับคนรอบๆ
ตัวเรา ยิ่งถ้าใครคนนั้นอยากจะเข้ามาเป็น “ส่วนหนึ่งในชีวิต” ยิ่งไปกันใหญ่ รักฉันคนเดียว
แต่ไม่รักคนรอบๆ ตัวฉันจะได้อย่างไร
“การทำความรู้จัก”
ที่ดีที่สุดก็คือ การได้พบปะกัน “ซึ่งๆ หน้า” ได้เห็นหน้าตา อากัปกิริยา และได้พูดคุยเพื่อ
“ทำความรู้จัก” กับความคิดความอ่านของเขา แต่สำหรับบางคน
เราอาจไม่มีโอกาสได้พบปะเขาในครั้งแรกๆ แต่ได้รู้จัก
“ตัวตน” ของเขาผ่านการบอกเล่าจากคนอื่น
ซึ่งการทำความรู้จักวิธีนี้ต้องอาศัยทักษะในการเล่าของผู้เล่าอยู่มากพอดู
เพื่อให้ผู้ฟังสามารถสร้าง “มโนภาพ” ของคนๆ นั้นได้ตรงกับความเป็นจริงมากที่สุด
เวลาเจอ “ตัวเป็นๆ” จะได้ไม่ “ผิดคาด” มากนัก
แม่ของฉันเป็นตัวอย่างที่ดีของ “รักฉัน
ต้องรักหมาของฉันด้วย”
ตั้งแต่ตอนที่ฉันและพี่สาวยังเป็นเด็ก
เราเคยแอบเอาน้องหมาเข้ามาเลี้ยงในบ้านโดยที่ไม่บอกให้แม่รู้ล่วงหน้า
หรือแม้กระทั่งตอนโตแล้ว ก็ยังแอบเอาน้องหมาเข้าบ้านโดยไม่ได้
“ขออนุญาต”
จากแม่ก่อน (เพราะรู้ว่า ถ้าบอกให้แม่ “รู้ตัว” ล่วงหน้ามีหวังไม่ได้เลี้ยง)
ตอนที่แม่เจอหน้าน้องหมา แปลว่า น้องหมา “ต้อง”
อยู่แน่แล้วอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ช่วงแรกๆ แม่ก็ “บ่นเป็นธรรมชาติ” นั่นแหละค่ะ
แต่ก็ไม่เคยที่จะไม่รับน้องหมาเหล่านั้นเข้าบ้าน
แม้ว่าน้องหมาบางพันธุ์จะเคยโดนแม่ “ประกาศิต” ว่าห้ามนำเข้าบ้านเด็ดขาด
อย่างเจ้าบั๊กจี้พันธุ์ร๊อตไวเลอร์ก็เข้าบ้านด้วยวิธี
“มัดมือชก”
นี้เหมือนกัน หลังจากน้องหมาเข้ามาในบ้านแล้ว แม่ก็จะมี
“ประกาศ” เพิ่มเติมต่ออีกว่า “ห้ามเอาหมาเข้ามาเลี้ยงอีกแล้วนะ” แต่แม่จะเคยย้อนคิดไหมนะว่า คำพูดของแม่ใช้กับลูกๆ
ไม่เคยได้ผล เพราะเวลาที่มีน้องหมาตาย ลูกๆ
ก็จะไปหาน้องหมาเข้ามาเติมเต็มจำนวนน้องหมาในบ้านทุกทีไป
เมื่อน้องหมาเข้ามาเป็นสมาชิกในในบ้านแล้ว ต่อจากนั้นก็เป็นขั้นตอนของ
“การทำความรู้จัก” แม่ทำความรู้จักกับน้องหมา
ส่วนน้องหมาก็ต้องทำความรู้จักกับแม่
ผู้ซึ่งเป็นผู้กุมชะตาชีวิตของเหล่าน้องหมานับตั้งแต่นาทีนั้น
คราวที่พี่สาวและฉันเลี้ยงน้องหมาทาโบะที่กรุงเทพฯ แม่ก็ได้
“ทำความรู้จัก”
กับน้องหมาตัวน้อยจากการบอกเล่าของพี่สาวของฉัน ฉัน และน้าสาว
แม่ได้สร้าง “มโนภาพ” ส่วนตัวของแม่เกี่ยวกับน้องหมา ทั้งหน้าตา
อุปนิสัย และคงอดที่จะรู้สึกผูกพันไม่ได้ ทั้งๆ
ที่ตลอดชีวิตอันสั้นของทาโบะจะไม่เคยได้เจอกับแม่ของฉันเลยแม้แต่ครั้งเดียว
คราวที่น้องหมาตาย พี่สาวฉันโทรไปบอกแม่ให้ทราบข่าว
แม่ร้องไห้เสียใจค่ะ ฉันนึกว่า
แม่คงร้องไห้เสียใจที่ลูกสูญเสียน้องหมาไป
นั่นก็อย่างหนึ่งค่ะ แต่แม่บอกอีกว่า
“โทรมาให้ความหวังแม่
ให้แม่ผูกพัน แล้วก็มาตายอย่างนี้
คราวหลังไม่ต้องโทรมาเล่าให้แม่ฟังเรื่องหมาตัวไหนอีกแล้วนะ” โถ แม่คะ
ถ้าไม่เล่าให้แม่ฟัง แล้วจะไปเล่าให้ใครที่ไหนฟังล่ะคะ
มันไม่ได้เป็นเพราะฉันและพี่สาวเป็นนักเล่าเรื่อง
(น้องหมา)
ที่เก่งมากมากจนแม่ของฉันสามารถสร้างมโนภาพได้เหมือนจริงอย่างกับตาเห็นหรอกค่ะ
แต่เป็นที่ “แม่ของฉัน” เองต่างหาก
แม่รักทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็น “ที่รัก” ของลูก น้องหมาบางตัวที่ลูกๆ
เอามาเลี้ยงแม้ว่า แม่จะไม่อยากเลี้ยงเพราะทั้งเป็นภาระ
แถมสร้างความปวดหัวและความกังวลใจให้แม่ไม่หยุดหย่อน แต่เมื่อเป็น
“ที่รัก” ของลูกๆ
แม่ก็รักและผูกพันกับน้องหมาตัวนั้นได้ไม่ยาก
แม้แต่น้องหมาตัวน้อยที่ไม่มีโอกาสได้พบหน้า
แม่ก็รักและผูกพันไม่ต่างจากน้องหมาที่อาศัยอยู่กับแม่
แล้วนับประสาอะไรกับคนที่เป็นเพื่อนของลูก
หรือแม้กระทั่งคนที่ก้าวเข้ามาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของลูก
อยากให้ทุกคนที่ก้าวเข้ามาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเป็นแบบแม่จัง
รักฉัน ก็ (เลย)
รักน้องหมาของฉัน และคนรอบๆ ตัวฉันด้วย
นึกว่าเป็นเพลง love me lovemy dog อ่ะครับ ไหนๆ
ก็เข้ามาแล้ว ก็เลย โพส เลย รักแม่ครับ