บั้นผญาเกี้ยว


เก็บจากงานวิจัยเก่าที่เคยทำมาเล่าให้ฟัง

       ผญาเกี้ยวในการเกี้ยวพาราสีนั้นมีรูปแบบขั้นตอนในการเกี้ยว สำหรับบ่าว-สาว  แบ่งเป็น    ขั้นตอน  ดังนี้

                         .  ผญาเกี้ยวขั้นถามข่าว  ในขั้นถามข่าวนี้มักมีการถามข่าว ๒ กรณีคือ  การที่ฝ่ายชายมาถึงที่ฝ่ายหญิงอยู่  แล้วถามถึงทุกข์สุข การงาน  ที่อยู่หมู่บ้านใด  ผญาชนิดนี้ปรากฏบ้างไม่มากนัก

ตัวอย่างเช่น

 

                                                เจ้าผู้งามโต่งโหล่ง               หลงมาทางเอิ้นใส่แด่เน้อ

                                                มาแวะยามแล้ว                     เอิ้นกินเข้าแด่เป็นสัง

 

ชาย :                สุขสำบายหมั้น                     เสมอมันเครือเก่าบ่นอ

                                                เทิงพ่อแม่พี่น้อง                  สำบายดีอยู่สู่คนบ่เด

                       หญิง             น้องนี้สุขสำบายหมั้น            เสมอมันเครือเก่าอยู่เด้ออ้าย

                                                เทิงพ่อแม่พี่น้อง                  สำบายพร้อมสู่คน

                                                                                                (สุระ  อุณหวงศ์  : ๑๐๕)

 

                ในบางกรณี การถามข่าวอาจเป็นการถามถึงเรื่องคู่ครองเลยทันทีก็มี  โดยถามว่ามีครอบครัว  สามีภรรยาหรือยังแบบนี้ปรากฏอยู่บ้าง

ตัวอย่างเช่น

 

                                                ถามข่าวเจ้า                            ถามข่าวทางปา

                                                ถามข่าวนา                            ถามข่าวทางข้าว

                                                ถามข่าวเจ้า                            มีผัวแล้วหือบ่

                                                หือหากมีแต่ซู้                       ผัวสิซ้อนกะบ่มี

                                                                                                (ประมวล  พิมเสน : ๒๕๔๓:๑๐)

                                                อ้ายอยากถามข่าวน้อง         ว่ามีผัวแล่วไป่

                                                หรือว่ามีแต่ซู้                        ผัวซ้อนหากบ่มี

                                                                                                (ประมวล  พิมพ์เสน .๒๕๔๓:๕๙)

 

                ผญาเกี้ยวบางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องมีบทถามข่าวตรง ๆ หากแต่ใช้บทเกี้ยวเป็นบทถามข่าวโดยนัยแทนก็ได้  ซึ่งโดยมากก็มักเป็นการเกี้ยวของบ่าวสาวที่รู้จักและสนิทสนมกันก่อนแล้ว    จึงไม่จำเป็นต้องถามข่าวโดยตรง

ตัวอย่างเช่น

 

                                                พี่นี้แนวควายตู้                                     หากินบ่คือเพิ่น

                                                ประสงค์กินแต่หญ้า                            สวนห้างจั่งแม่นคอ

                                                พอเหลียวหลังเห็นหน้า                       สาวฮ้างดีใจเต้นเข้าใส่แท้แหล่ว

                                                                                                                (สุระ  อุณวงศ์ ๒๕๔๒:๑๐๕)

 

 

                                                อ้ายนี้เป็นดังเซื้อสะเพาคัง                 บ่หนีฟองแก้งใหย่

                                                อ้ายสิเบ็ดใส่เฝือน                                อ้ายสิเฝือนใส่ก้อน

                                                อ้ายสิย้อนใส่แก้ง                                 ตำแล้วจั่งสิถอย

                                                                                                                (ประมวล  พิมพ์เสน. ๒๕๔๓: ๘๓)

                เราจะเห็นได้ว่าวัฒนธรรมการรับแขกของชาวอีสานนั้นเป็นวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากผญาเกี้ยวนั้นบอกให้เราทราบถึงมารยาทในการใช้ภาษา  ความมีน้ำใจของหญิงชายที่ยังไม่เคยรู้จักกันมาก่อนก็สามารถที่จะพูดคุยด้วยกับได้  โดยใช้ความจริงใจต่อกัน  ฝ่ายชายเมื่อมาถึงเรือนฝ่ายหญิงก็ต้องเป็นฝ่ายต้อนรับพร้อมโต้ตอบเมื่อฝ่ายชายถาม โดยไม่มีอาการกินแหนงแคลงใจว่าเป็นคนแปลกหน้าแต่อย่างใด

 

                                .  ผญาเกี้ยวขั้นเกี้ยวพาราสี  เมื่อมีการถามข่าวกันแล้ว  ฝ่ายชายและฝ่ายหญิง  จะทำการเกี้ยวพาราสีกัน  โดยการเกี้ยวพาราสีนั้นปรากฏอยู่ในเอกสารมาก  ซึ่งสามารถแบ่งบทเกี้ยว    ลักษณะคือ    เกี้ยวเอาใจ    เกี้ยวเชิงตัดพ้อ

                                           .๑ เกี้ยวเอาใจ   คือ การเกี้ยวเอาใจอีกฝ่าย  หวังเพื่อใช้คำหวานซึ่งยึดตรึงใจฝ่ายตรงข้ามเพื่อให้ยอมรับตนเองโดยหวังเพื่อจะได้มีสัมพันธ์ชู้สาว หรือเพื่อการเป็นคู่ครองซึ่งกันและกันนั่นเอง โดยมากฝ่ายชายจำต้องแสดงภูมิรู้ในเชิงภาษาออกมาให้มากและเหนือกว่าฝ่ายหญิงซึ่งอ่อนให้ก็เป็นอันยอมรับการเกี้ยวพาราสี

ตัวอย่างเช่น         

 

                                                            ผู้งามงามจั่งน้อง                 แม่นแม่อุ่นทานหยัง

                                                หรือว่าแม่น้องนั้น               ทานดอกคุตทังกอ

                                                หรือว่าแม่น้องนั้น               ทานดอกยอทั้งต้น

                                                น้องจังงามลื่นล้น                ซาวบ้านเพิ่นซ่าลือ

                                                                                ( ประมวล   พิมพ์เสน. ๒๕๔๓ : ๒๐)

 

 

                                                น้องผู้งามงามนี้                    ยืมเพศผู้ใด๋มา

                                                น้องผู้งามงามนี้                    ยืมขาผู้ใด๋ย่าง

                                                ขี้ฮ้ายจั่งอ้าย                           แม่นยืมซ้างเพิ่นขี้มา

                                                                                                ( ประมวล   พิมพ์เสน. ๒๕๔๓ : ๒๑)

 

                จากบทวิเคราะห์ข้างต้นเราจะเห็นได้ว่าการใช้ภาษานั้นเพื่อที่จะพูดโน้มน้าวจิตใจคนนั้นเป็นสิ่งสำคัญและก็เป็นปราการที่จะทำให้คนเรารู้จักและรักใคร่กันได้ในที่สุด   บทผญาเกี้ยวเอาใจนั้นเป็นความสามารถในการใช้ภาษาเพื่อสื่อสารโน้มน้าวจิตใจให้ผู้ได้ฟังเกิดความรักใคร่และอยากที่จะรู้จักใกล้ชิดสนิทสนมด้วย  ซึ่งก็นับเป็นรูปแบบหนึ่งในการจ่ายผญาที่สำคัญและจะขาดไม่ได้เลย

.๒ เกี้ยวเชิงตัดพ้อ   เมื่อถามข่าว  เกี้ยวเอาใจยกย่องฝ่ายตรงข้าม

แล้วถ้ามีถ้อยคำ  หรือสำนวนที่ไม่เป็นที่พอใจของผู้ฟังก็จะมีการกล่าวตัดพ้อต่อว่ากันโดยในข้อนี้เราจะเห็นถึงปฏิภาณของผู้กล่าวโต้ตอบโดยใช้ภูมิรู้โต้ตอบโดยฉับพลัน  เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามเกิดความละอายใจและยอมจากไป  ซึ่งที่จริงแล้วเป็นการกล่าวเพื่อต้องการทราบว่าฝ่ายชายจะเลิกล้มความคิดที่จะเกี้ยวไหมหรือยังมีความพยายามต่อไ

ตัวอย่างเช่น

 

                                คันแม่นเจ้ามักข้อย               แกงหอยให้มันเปื่อย

                                แกงปาให้เปื่อยก้าง             แกงซ้างให้เปื่อยงา

                                                                                ( ประมวล   พิมพ์เสน.๒๕๔๓:๑๓)

                เมื่อฝ่ายตรงข้ามรู้ว่าตนเองเองทำไม่ได้หรือไม่มีความพยายามก็จะจากไปไม่ทำการเกี้ยวต่อไปอีก

                ตัวอย่างเช่น

 

                                                คันบ่เป็นตาส่อน                  สิคาดห่างลงสา

                                                คันบ่เป็นตาสา                      สิแบกกะโซ้คืนบ้าน

                                                                                                ( ประมวล   พิมพ์เสน.๒๕๔๓:)

บางครั้งการกล่าวเชิงตัดพ้อนั้นก็เพื่อเป็นการหลอกล่อให้ฝ่ายตรงข้ามเอาใจหรือสงสารตนเองก็ได้  โดยมากมักเป็นการกล่าวลดค่าของตัวเองให้เห็นว่าต้อยต่ำกว่าฝ่ายตรงกันข้าม     เป็นกลวิธีหนึ่งที่ใช้มัดใจก็ฝ่ายตรงข้าม  ซึ่งฝ่ายที่ตัดพ้อจะพยายามหาถ้อยคำมาเปรียบและทิ้งท้ายว่าไม่สงสารแล้วหรือ?   ไม่เห็นใจแล้ว?  บทผญาในลักษณะนี้เป็นการแสดงภูมิรู้ว่าผู้จ่ายหรือผู้พูดนั้นมีความรู้กว่างขวางมากเท่าใ

ตัวอย่างเช่น

               

                                น้องนี่แนวนาวเซื้อ             บักหอยนาหน้าต่ำ

                                บ่แมนหงคำบินผ่านฟ้า      จั่งสมอ้ายผู้งาม  ดอกนา

                                                                                ( ประมวล   พิมพ์เสน. ๒๕๔๓:๑๗)

                บางครั้งการกล่าวบทตัดพ้อก็หวังเพื่อจะได้ทราบความจริงใจของอีกฝ่ายว่ามีให้มากน้อยเท่าใด  ซึ่งกลวิธีแบบนี้มีใช้ทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย  แต่จะปรากฏใช้ในฝ่ายหญิงมากกว่า  ทั้งนี้เพราะผู้ที่เข้ามาเกี้ยวก่อนนั้นเป็นฝ่ายชายก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ฝ่ายหญิงจะต้องกล่าวเพื่อ   เป็นลองใจเพื่อหยั่งเชิงฝ่ายชายดูว่าจะมีความจริงใจให้เท่าใด 

                ตัวอย่างเช่น 

                                                คันอ้ายมีเมียแล้ว                  อย่าลงเฮือนให้หมาเห่า

                                                ให้อ้ายนั่งเค้าเม้า                  ไพหย่าอยู่เฮือน   

                                                                                                ( สุระ  อุณวงศ์. ๒๕๔๒:๑๐๒)

                                (ถอดความได้ว่า ถ้าพี่มีเมียแล้วอย่าจากบ้านมาเล่นสาวให้หมาเห่าเลย ให้อยู่บ้านนั่งกรองหญ้าเฝ้าเรือนดีกว่า:เป็นการกล่าวตัดพ้อบอกชายให้บอกความจริงมาว่ามีเมียรึยังให้ยืนยันมาด้วย)

 

                จากการวิเคราะห์ในข้างต้นเราจะเห็นได้ว่าการกล่าวตัดพ้อของในบทเกี้ยวนั้นไม่ได้ร้ายแรงถึงขนาดประชดประชันด้วยความเกลียดชัง  หากแต่กล่าวอย่างมีจุดมุ่งหมายแอบแฝงมากกว่านั้นคือ  กล่าวเพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามแสดงความพยายามที่จะเกี้ยวต่อไป  กล่าวเพื่อหลอกล่อให้ฝ่ายตรงข้ามเห็นใจหรือสงสาร   กล่าวเพื่อต้องการทราบความจริงใจจากฝ่ายตรงข้าม  จากจุดประสงค์เหล่านี้เองเป็นหัวใจของการเกี้ยวพาราสีและเป็นขั้นตอนสำคัญที่คนอีสานสมัยก่อนใช้และประสบผลสำเร็จคือชายหญิงตกลงแต่งงานกันมามากนักต่อนักแล้ว 

                               ๓ . ผญาเกี้ยวขั้นลา  ด้วยความเป็นชนชาติเจ้าบทเจ้ากลอนนั้นเมื่อเกี้ยวพาราสีจนเป็นที่  บันเทิงแก่ใจแล้วเมื่อเวลาดึกหรือเวลาที่จะกลับแล้วนั้นก็จะทำการกล่าวลา        การกล่าวลานั้นต้องอาศัยอยู่กับบริบทในการเกี้ยวพาราสีว่าสำเร็จหรือไม่ ถ้าสำเร็จการลา          ก็มักจะเป็นบทที่ส่งท้ายแบบฝากรักให้ฝ่ายตรงข้ามคิดถึงและอาลัยหา

                                ตัวอย่างเช่น  

 

                                                บัดนี้ดึกคล้อย ๆ                   ลมวอยหนาวน่วง

                                                สุดเป็นห่วงนาถน้อง          ใจสะบั้นสั่นสาย

                                                พี่สิลาก่อนเด้อหลา              สายตาซู้เพิ่น

                                                วาสนาพี่ฮอดเจ้า                  เซาแล้วบ่กาย    ดอกนา 

คำสำคัญ (Tags): #บั้นผญา
หมายเลขบันทึก: 239129เขียนเมื่อ 2 กุมภาพันธ์ 2009 15:07 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 20:14 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

                                                หน้า ๑

นิราศช่องสามหมอ

 

 

 

มองน้ำใสไหลเย็นเป็นซัดสาด

ระหว่างช่องภูขาดซัดสาดไหล

ให้หมู่คนหมู่มิตร  เดินทางไกล

อาบน้ำไหล   อาบน้ำเย็น  เห็นหมู่ปลา

                        คุณปู่ด้วงย่าดี  คนกราบไหว้

                        คนหลั่งไหล   หลั่งมา  กราบย่า

                        กราบปู่ด้วง  ทุก  พุธ  ยามจากลา

                        ไป เสาะแสวงหาความมั่งมีมาสร้างตน

กลิ่นสุคนธ์กลิ่นธูปเทียนหอม

กลิ่นลั่นทม  กลิ่นจำปีทั่วห้องหน

ยามเช้า เช้า  บานเบิกหน้า   หล้าแห่งคน

ไม่สับสนจะจากไปหาเงินทอง

 

 

                             หน้า ๒

 ร้านส้มตำเรียงรายทั้งไก่ย่าง

ยลน้องนางส้มตำ  มีเจ้าของ

นางวางจัดส้มตำวางเคียงครอง

คู่นวลน้องวางจัดผักบุ้งนา

                วางวานว่าเอาอะไรอีกครูขา

                ครูพณาใจสั่นพาหวั่นไหว

                จากไปแล้วหายลับว่าจะไป

                ถามครูว่าครูอยู่ไหนไม่มาเลย

หูได้ยินยลบอกเธอยิ้มให้

โรยกลิ่นไอส้มตำทำเมินเฉย

คิดว่าเงินยี่สิบบาทไม่ขาดเลย

รวมน้ำเอย  รวมหม่ำ  ซ้ำ  ขย้ำมือ

 

 

 

 

 

 

 

หน้า ๓

ก่อนจากไปคราไครใคร่บอก

ว่าคิดถึงเจ้าดอกจึงยึดถือ

ขนบธรรมเนียมลาไกลใครฤๅ

ครูคนสุดท้ายยึดถือ  เปรียบบ้านตน

                เป็นบุญกรรมผลกรรมซ้ำสอง

                ข้างสองฟากทางแสงส่องสว่างไสว

                เดินหนังสือส่งสองข้างฝั่งไป

                เห็นมาลัยพวงร้อย  รอยยิ้มยวล

มองรถเข็น  เธอร้องขายไข่ปิ้ง

ไข่เขย่า  ไข่ขาวย่าง  หอมหวาน

ยี่สิบบาทสามลูกเป็นจัดจาน

ยิ้มเย้าหวานมา  อีกนะท่านพี่ชาย

                อิ่มแล้วนั่งฝั่งชมฟากฝั่งขวา

                เรียงรายมาเป็นหน่อไม้อีลอกหลาย

                พร้อมย่านางเครื่องปรุงจัดเรียงราย

                คนทั้งหลายต่างเยื่องย้ายซื้อชม

 

 

 

หน้า ๔

เป็นตลาดสามแยกทางสามแพร่ง

ยามค่ำแลงยามใดก็สุขสม

ทั้งของซื้อของขายน่าภิรมย์

จะเลือกซื้อเพื่อชื่นชมก็ยังมี

                กระบุงกระมองใบตองซาด

                กระจัดกระจาดของใช้เพื่อเป็นศรี

                ยามจัดบ้านอีสานแท้ยังคงมี

                ให้เป็นศรีเรือนเจ้าใคร่คู่ครอง

มองแผ่นป้ายโฆษณาให้ชวนเชื่อ

หม่ำรสเลิศเหลือเชื่อน้ำลายไหล

ส่วนผสมตับย่างม้ามย่างไฟ

กระเทียมไทย  พริกไทยโทนรสดี

                ผสมเนื้อวิตามินและแร่ธาตุ

                คุณค่าอาหารหลักครบถ้วนถี่

                ควรปิ้งย่างรูปรสอาหารดี

                บำรุงที่ร่างกายจิตใจงาม

 

 

 

หน้า ๕

อันคำเล่าโบราณกาลก่อน

จะเดินป่าพาจรต้องมีหลาม

ต้องเตรียมเนื้อยัดใส่ปล้องไผ่งาม

เกลือลงซ้ำกระเทียมไร่ใส่ดีปรี

                ยามผัวจะจากบ้านไปไกลจิต

                ให้หวนคิดนวลนางสงวนศรี

                รีบจัดให้หลามนั้นควรมี

                ยามตัวพี่จากไปไกลตา

ยามเดินย่างกลางป่าพรรณนาไม้

อยู่กลางไพรใคร่ได้เนื้อเป็นหนักหนา

หวังเพื่อเจ้าอยู่บ้านกับลูกยา

ได้อิ่มหมีปรีดาพาสุขนัก

                ภูแลนคาทอดยาวเห็นทิวไม้

                มีประวัติว่าไว้ให้ตระหนัก

                ให้คนรู้เป็นตำนานมานานนัก

                คนประจักษ์ว่ารู้เป็นนิทาน

 

 

 

หน้า ๖

หมาบักทอกแปดศอกไม้ลืมตา

                เดินตามหามารดาไม่เรียกขาน

                เดินเลาะเลียบเชิงผามาช้านาน

                หิวก็หิวทรมานสงสารตน

ตีนสัมผัสเพิงผาพอไปได้

เท้าปีนป่ายหินโพรงด้วยกุศล

เทพอารักษ์สงสารหมาหน้ามน

อยู่กับเท้าสี่ตนเป็นกำลัง

                พลังเทพเหยียบยันพังทลาย

                เป็นช่องหมายรอยเยียบไว้เบื้องหลัง

                ให้คนรู้เล่าขานเป็นจีรัง

                เรียกช่องสามหมอดั่งฟังนิทาน

แม้นคำร้อยคำเรียกเพียงเพรียกหา

เป็นตำราบทเขียนเพียรเล่าขาน

เป็นบทรู้บทภูมิปัญญาทาน

สืบตำนานภูแลนคาให้หล้ารู้

 

 

 

หน้า ๗

คิดถึงวันก่อนเก่ามีเจ้าอยู่

ได้เคียงคู่อยู่ป่าพณาสวรรค์

ปลูกมะเขือปลูกพริก ปลูกเผือกมัน

                เก็บฟืนบั่นเป็นท่อนก่อนกล่อมนอน

อยู่กับลูกพักเพิงผาท้าชีวิต

ค่ำคืนคิดเสียงนกแสกมาหลอกหลอน

เสียงนกเค้าฮูกฮูกกอดลูกนอน

เมียขวัญอ่อนคุดคู้กับลูกยา

                จักจั่นเรไรพร่ำร้องเรียก

                ใจก็พรั่นเพลงเพรียกเรียกหา

                รีบปลุกน้องกลอยใจให้ตื่นมา

                ดูดนมแม่จ๊ะจ๋าจะสายแล้ว

แม่ขายผักของป่าทั้งหนอไม้

กระเจียวไพรผักหวานเพื่อลูกแก้ว

ทั้งเห็ดหอมกลางป่ามัดมันแกว

เธอคือแก้วกลางดงพงไพร

 

 

 

หน้า ๘

                เดินหนังสือพิมพ์ส่งวันส่งสาร

                เพื่อได้อ่านแขกมาพาสงสัย

                ก่อนหิวข้าวได้อ่านสบายใจ

                เงินทองได้ซื้อนมเลี้ยงลูกมา

จนบัดนี้อยู่ดีมีความสุข

ทั้งลาภยศสรรเสริญสุขก็มาหา

ได้เป็นครูข้างดอยภูแลนคา

ใจพรรณนาอยู่ภูผาตลอดวัน

                แม้นเป็นสุขกายใจนั้นก็ใช่

                ใครหนอใครก็เข้าใจในคำหวาน

                วันวิสุทธ์  บริสุทธิ์  ตลอดกาล

                แต่ดวงมาลย์แทบสลายมลายลง

ยามจากไกลใครเล่าเฝ้าสงสาร

ไม่เบิกบานแต่ศิษย์ครูเสริมส่ง

มองโรงเรียนช่องสามหมออ่อนล้าลง

เคยอยู่คงว่าจะเป็นครูบ้านไพร

 

 

 

หน้า ๙

ด้วยหัวใจเปี่ยมล้นด้วยคุณค่า

บาทบาทาทรงเสริมส่งให้สดใส

โรงเรียนกลับเลิกล้มทนสลดหดหู่ใจ

เหตุไฉนใครลิขิตชีวิตเรา

                เคยเห็นหมู่กระรอกวิ่งหยอกเย้า

                กระแตเจี๊ยกใต้ร่มเงายามแสดเผา

                จับคู้ร้องเรียกขานประจานเรา

ไม่มีคู่เคลียเคล้าก็เศร้าตรม

หมู่วิหคบินมาถลาเล่น

โพระดกเหลืองอ่อนดูคู่เหมาะสม

น่าอิจฉาจับคู่ชู้ชื่นชม

คลายเศร้าตรมอยากเป็นนกวิหคลอย

                ยามย่างเดินย่างเหยียบพงหนาม

                ระยะยามเช้าผักหวานมือน้อยสอย

                เด็ดเก็บยอดเพลินเดินเล่นเพื่อคนคอย

                เพื่อลูกน้อยได้ดื่มนมแทนแม่เรา

 

 

หน้า ๑๐

หมู่ใบตองเหลืองอ่อนระยิบระยับ

ว่าจะพับใบตองยามขลาดเขลา

เมื่อยามจนคุ้มราคาคุณค่าเรา

ว่าขลาดเขลาเพราะไม่กลัวว่าอับจน

                สักวันหนึ่ง  คนดีศรีของแม่

                คอยเหลียวแลคอยอุ้มอ้อมยามสับสน

                แม้จะทุกข์ก็จะสู้ครูของคน

                ไม่มีจนเพราะมีแม่กำลังใจ

 

ขอพักแรมผ่อนกายไว้ตรงนี้

จะชั่วดีเจ็ดยามหายสงสัย

เพลินความชอบความดีตลอดไป

จิตสดใสไม่เศร้าตรมชมดอกไม้

                ว่าชีวิตดั่งสายน้ำไหล

                ชมพฤกษ์ก็จะสมภิรมย์หมาย

                ชมภูเขาว่า  ผาแดงยามแลงกลาย

                แดงสดใสสะท้อนแสงเต็งรังยิ้ม

 

หน้า ๑๑

 

ท้าวผาแดงนางไอ่ใครใคร่รู้

คู่คุดคู้  อ่อนล้าแก้มพิมพ์พริ้ม

คู่สุขสมเพียรยามยากโอ้แม่พิมพ์

ขอรอยยิ้มแก้มน้องนางอยู่กลางไพร

                เสียงนกแต่ดแต้แต้ต้อยต้อยตีวิด

                บรรเจิดบิดกายกล้าถลาไถล

                ลงสู่ดินเหินฟ้าว่ากลับกลาย

                ยืนชูคู่ขาเดียวดายอยู่บนดิน

ไม่จับไม้โบยบินไม่เคยหลับ

แต๊ดแต้หลับคล้ายอยู่คู่สมถวิล

คล้ายล่อหลอกบินเป็นเงาพรึบพรึบบิน

เหมือนอยู่คู่ห่วงถิ่นถวิลนาง

                นกอีจู้ว่าจู้ชู้ชูชื่น

                ยามค่ำคืนหลับสนิทคล้ายคลายเงา

                ยามแดดส่องแสงแดดแผดร่มเงา

                อีจู้เคร้าเฝ้าเรียกจู้ชู้ชี้ชม

 

 

หน้า ๑๒

 

นกขมิ้นเหลืองอ่อนแรงอ่อนหล้า

อยากจะว่าเพียรหาคู่พอสุขสม

ต้องขาดคู่ไม่อยู่อย่างภิรมย์

ยามค่ำตรมนอนเดียวดายขาดรังนอน

                นกกระปูดตาแดงร้องปูดขัน

                เร่งพนันแย่งคู่พอสู่สม

                อารมณ์ได้หมายชู้ชี้คู่ชม

                แผ่ภิรมย์แตกลูกหลานประจานใคร

ดูดุเหว่าฟังเสียงวอนร้องเรียก

เป็นเสียงเพรียกขับขานเป็นไฉน

บอกไม่ถูกบอกไม่ได้อยู่กับใคร

คอยลอบไข่วางไว้ใครเล่าฟัก

                เจ้านกเขาใหญ่ชวาเบิกบานยิ่ง

                พรึบพรึบบินครองคู่อยู่เป็นหลัก

                คู่ไม้ใหญ่คู่ประดู่เพียงคู่รัก

                เยาะหยอกรักทักเล่นเป็นวิวาห์

 

 

หน้า ๑๓

ชวาแดงแลงเย็นบินเป็นฝูง

ระยางยูงถลาเล่นฉวัดเฉวียน

ฝูงคู่อยู่คู่เย้าทุกเช้าเวียน

ชมเพลินเรียนวิหคอยู่คู่ภูงาม

                ภูผาแดงแลนคาเป็นหว่างช่อง

                ภูขาดปล่องช่องฝางเป็นเขตขาม

                อุทยานแห่งฟ้าภูแสนงาม

                ท่องลำนำชมเถื่อนถ้ำสุขยิ่งเอย

                                                                    ครูบ้านไพร

 

                                  (นายประยุทธ เม็นไธสง)

                                ครูอันดับ  คศ.  2     ชำนาญการ

                                   โรงเรียนบ้านหนองแวง

                                        28/06/2548

 

 

 

 

                                                                                    หน้า ๑ 

นิราศหนองพีพ่วน

หนองพีพ่วนถิ่นนี้มีมนต์ขลัง

ป่าเต็งรังลมหวนชวนใจหาย

หืนหอบหับสิ้นสลายมลายไป

ด้วยกลิ่นไอแดนดงพงพรรณนา

                บ้านเคยอยู่เคยนอนเอาะอ้อนนัก

                คิดถึงรักอยู่บ้านดวงบุหงา

                โอ้ดวงดอกเต็งรังได้ผ่านมา

                ดวงหยี่หวาหมู่ชวนชมลั่นทมงาม

                                ถึงยามนี้ยามนั้นกาลครั้งหนึ่ง

                                คะนึงคิดวันผ่านมาพาสวนสนาม

                                ลูกเสือน้อยเนตรนารีเยือนถิ่นงาม

                                ลงสวนสนามที่นี้แปดปีแล้ว

มาวันนี้ต่างตามาให้เห็น

พายุเย็นไอแดดไม่แผดแผ้ว

หมู่ยูงแว่วแผดเสียงสำเนียงใส

ยูงลำแพนกรีดหางระหว่างไพร

ใครหนอใครส่งสำเนียงเคียงคู่เธอ

                จะลาร้างแรมไกลคู่ไพรพฤกษ์

                ใจให้นึกอาจารย์สองต้องเสนอ

                ผลงานนี้ปวดหัวแล้วนะเออ

                จึงเสนอผลงานอาจารย์งาม

                                                                  (ประเมิน...)

 

 

 

 

 

 

 

                                                                                                                                หน้า  ๒

ประเมินผลภายนอกภายในใยไม่รู้

ขนลุกซู่จะมาตรวจ  “มือที่สาม”

ไม่เคยเห็นหน้าตามาเป็นยาม

คุณทำตามมาตรฐานนั้นอย่างไร

                ไม่มีใครบอกได้ฉายให้เห็น

                อยู่หรือเป็นทำงานแบบไหนไหน

                ดูผลงานดารดาษครูพงไพร

                หนองพีพ่วนโรยใจใฝ่ให้นำ

อยู่หรือเป็นงานนี้ต้องมีแน่

ต้องครวจแน่ใจคิดอย่าถลำ

นำตามเพียร  ตามรู้  คู่ผู้นำ

ท่านอาจารย์ชาญวิทย์ย้าต้องทำไป

                เราเปลวเทียนต้านลมลอยลู่

                ความเป็นครูไม่สมเสื่อมสลาย

                หยิ่งในเกียรติศักดิ์ค่าควรคู่ครูไทย

                ขอหทัยดวงใจน้องครูครองธรรม

ได้บทเรียนเขียนอ่านสะอ้านจิต      

ใยต้องคิดถึงบทบาทมือที่สาม

ใจจะสู้ชูเด็กน้อยให้คล้อยตตาม

คู่ป่างามฉาบไออุ่น  กรุ่นดวงใจฯ

 

 

 

 

อ.หนุ่ย,ครูบ้านไพร,นามไพร

                ผู้ประพันธ์

11/06/2546

 

 

 

 

                                                                                                                                                หน้า  ๓

สภาพเดิมดินแดนถิ่นนี้  เป็นป่าดงดิบ  ป่าดิบแล้ง  ป่าไม้เบญจพรรณ  มีไม้จำพวก มะค่าโมง ตะเคียนทอง ตะเคียนหิน ไม้ยาง ไม้ยางแดง ไม้แดง ไม้พลวง ไม้ซาด เป็นต้น และพวกสัตว์ป่านานาชนิด เช่น ช้าง เสือโคร่ง เสือดาว เสือดำ หมูป่า กวาง เลียงผา สัตว์เล็กสัตว์ใหญ่นกนานาพันธุ์ ลิง ค่าง บ่าง ชะนี   เมื่อมีการให้สมปะทานป่าไม้คงเหลือแต่ป่าหญ้าและผืนดินที่แห้งผาก

สภาพปัจจุบัน

ได้มีการสร้างเขื่อน  ชื่อเขื่อนลำประทาวไหลลงน้าตกตาดโตน  โดยวิธีผันน้ำ  มีการสร้างโรงงานพลังไฟฟ้า  ปล่อยน้ำไหลไหลลงสู่แถบหมู่บ้านนาแก นาหนองทุ่ม ยังความอดมสมบูรณืให้ผืนนาแถบนี้  ดงท่ามะไฟหวานเดิม ที่กล่าวข้างต้น มีแต่ผืนหญ้า  และพื้นดินที่เสื่อมสภาพ ก็ยังดีมีแหล่งน้ำเขื่อนลำประทาว ประทังชีวิต ชาวตำบลท่ามะไฟหวานปัจจุบัน

 

 

 

 

 

อ.หนุ่ย,ครูบ้านไพร,นามไพร

                                                ผู้อธิบาย

11/06/2546

 

 

 

 

 

 

สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการ Copyright

ความนำ 

          นิราศช่องสามหมอ นี้ ผู้แต่งได้แต่งขึ้นเองจากชีวิตจริง

การบอกเล่า  การสังเกต    เพื่อให้ผู้อ่านได้เห็นคุณค่าของธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมของทางสังคม  ภูมิปัญญาท้องถิ่น  แก่งค้อ  คอนสวรรค์ (นครกาหลง)  ซึ่งเป็นวิถีชีวิต  นิราศช่องสามหมอนี้  ผู้แต่งหวังว่าเป็นสื่อการเรียนรู้เชิงบูรณาการได้เป็นอย่างดี

          ขอขอบคุณ  อาจารย์ขวัญไทย  แสนเรียน  อาจารย์เนาวรัตน์  พงไพบูลย์  บุคคลชาวแก่งค้อ  ชาวช่องสามหมอ  ชาวคอนสวรรค์  ชาวชัยภูมิ  คณะครูโรงเรียนบ้านหนองแวง

  นักเรียน  ประชาชน  ชาวหนองแวง  ไว้อย่างสูงยิ่ง จึงขอขอบคุณไว้   ณ   ที่นี้

 

                                ครูประยุทธ         เม็นไธสง(ผู้ประพันธ์)

                                                          ครูบ้านไพร

                                                          28/06/2548   

 

 

 

 

 

 

ความนำ

ทุ่งแลนคา  เป็นเขตคาม  อำเภอแก้งคร้อ (แก่งค้อ)  ภูเขียว  เกษตรสมบูรณ์  คอนสาร  บ้านแท่น  มีเทือกเขาแลนคาล้อมรอบ  ประกอบกับ  แนวเขาภูผาแดง  อยู่ทางทิศตะวันออก  ภูแลนคาแนวยาวจากตะวันตกมาทางทิศตะวันออกจะประจบกับภูผาแดง  แต่เป็นช่องเขาขาดเรียกว่า  “ช่องสามหมอ”

          บทกลอนนี้ข้าพเจ้าแต่งขึ้นเองไม่ได้คัดลอกใครอื่นแต่อย่างใด  ซึ่งเป็นสิ่งแวดล้อมทางภาษา   ถ้าทุกคนสามารถสื่อภาษาด้วยคำ  “หวาน”  โดยวิธีใดก็ตาม   สังคมนั้นๆจะอยู่อย่างเป็นสุขยิ่งตลอดกาล

 

                                                          นายประยุทธ       เม็นไธสง

                                                                   ครูบ้านไพร

                                                                   05/07/2548

 

 

 

 

 

 

 

 

                                                หน้า ๑

นิราศช่องสามหมอ

 

 

 

มองน้ำใสไหลเย็นเป็นซัดสาด

ระหว่างช่องภูขาดซัดสาดไหล

ให้หมู่คนหมู่มิตร  เดินทางไกล

อาบน้ำไหล   อาบน้ำเย็น  เห็นหมู่ปลา

                        คุณปู่ด้วงย่าดี  คนกราบไหว้

                        คนหลั่งไหล   หลั่งมา  กราบย่า

                        กราบปู่ด้วง  ทุก  พุธ  ยามจากลา

                        ไป เสาะแสวงหาความมั่งมีมาสร้างตน

กลิ่นสุคนธ์กลิ่นธูปเทียนหอม

กลิ่นลั่นทม  กลิ่นจำปีทั่วห้องหน

ยามเช้า เช้า  บานเบิกหน้า   หล้าแห่งคน

ไม่สับสนจะจากไปหาเงินทอง

 

 

                             หน้า ๒

 ร้านส้มตำเรียงรายทั้งไก่ย่าง

ยลน้องนางส้มตำ  มีเจ้าของ

นางวางจัดส้มตำวางเคียงครอง

คู่นวลน้องวางจัดผักบุ้งนา

                วางวานว่าเอาอะไรอีกครูขา

                ครูพณาใจสั่นพาหวั่นไหว

                จากไปแล้วหายลับว่าจะไป

                ถามครูว่าครูอยู่ไหนไม่มาเลย

หูได้ยินยลบอกเธอยิ้มให้

โรยกลิ่นไอส้มตำทำเมินเฉย

คิดว่าเงินยี่สิบบาทไม่ขาดเลย

รวมน้ำเอย  รวมหม่ำ  ซ้ำ  ขย้ำมือ

 

 

 

 

 

 

 

หน้า ๓

ก่อนจากไปคราไครใคร่บอก

ว่าคิดถึงเจ้าดอกจึงยึดถือ

ขนบธรรมเนียมลาไกลใครฤๅ

ครูคนสุดท้ายยึดถือ  เปรียบบ้านตน

                เป็นบุญกรรมผลกรรมซ้ำสอง

                ข้างสองฟากทางแสงส่องสว่างไสว

                เดินหนังสือส่งสองข้างฝั่งไป

                เห็นมาลัยพวงร้อย  รอยยิ้มยวล

มองรถเข็น  เธอร้องขายไข่ปิ้ง

ไข่เขย่า  ไข่ขาวย่าง  หอมหวาน

ยี่สิบบาทสามลูกเป็นจัดจาน

ยิ้มเย้าหวานมา  อีกนะท่านพี่ชาย

                อิ่มแล้วนั่งฝั่งชมฟากฝั่งขวา

                เรียงรายมาเป็นหน่อไม้อีลอกหลาย

                พร้อมย่านางเครื่องปรุงจัดเรียงราย

                คนทั้งหลายต่างเยื่องย้ายซื้อชม

 

 

 

หน้า ๔

เป็นตลาดสามแยกทางสามแพร่ง

ยามค่ำแลงยามใดก็สุขสม

ทั้งของซื้อของขายน่าภิรมย์

จะเลือกซื้อเพื่อชื่นชมก็ยังมี

                กระบุงกระมองใบตองซาด

                กระจัดกระจาดของใช้เพื่อเป็นศรี

                ยามจัดบ้านอีสานแท้ยังคงมี

                ให้เป็นศรีเรือนเจ้าใคร่คู่ครอง

มองแผ่นป้ายโฆษณาให้ชวนเชื่อ

หม่ำรสเลิศเหลือเชื่อน้ำลายไหล

ส่วนผสมตับย่างม้ามย่างไฟ

กระเทียมไทย  พริกไทยโทนรสดี

                ผสมเนื้อวิตามินและแร่ธาตุ

                คุณค่าอาหารหลักครบถ้วนถี่

                ควรปิ้งย่างรูปรสอาหารดี

                บำรุงที่ร่างกายจิตใจงาม

 

 

 

หน้า ๕

อันคำเล่าโบราณกาลก่อน

จะเดินป่าพาจรต้องมีหลาม

ต้องเตรียมเนื้อยัดใส่ปล้องไผ่งาม

เกลือลงซ้ำกระเทียมไร่ใส่ดีปรี

                ยามผัวจะจากบ้านไปไกลจิต

                ให้หวนคิดนวลนางสงวนศรี

                รีบจัดให้หลามนั้นควรมี

                ยามตัวพี่จากไปไกลตา

ยามเดินย่างกลางป่าพรรณนาไม้

อยู่กลางไพรใคร่ได้เนื้อเป็นหนักหนา

หวังเพื่อเจ้าอยู่บ้านกับลูกยา

ได้อิ่มหมีปรีดาพาสุขนัก

                ภูแลนคาทอดยาวเห็นทิวไม้

                มีประวัติว่าไว้ให้ตระหนัก

                ให้คนรู้เป็นตำนานมานานนัก

                คนประจักษ์ว่ารู้เป็นนิทาน

 

 

 

หน้า ๖

หมาบักทอกแปดศอกไม้ลืมตา

                เดินตามหามารดาไม่เรียกขาน

                เดินเลาะเลียบเชิงผามาช้านาน

                หิวก็หิวทรมานสงสารตน

ตีนสัมผัสเพิงผาพอไปได้

เท้าปีนป่ายหินโพรงด้วยกุศล

เทพอารักษ์สงสารหมาหน้ามน

อยู่กับเท้าสี่ตนเป็นกำลัง

                พลังเทพเหยียบยันพังทลาย

                เป็นช่องหมายรอยเยียบไว้เบื้องหลัง

                ให้คนรู้เล่าขานเป็นจีรัง

                เรียกช่องสามหมอดั่งฟังนิทาน

แม้นคำร้อยคำเรียกเพียงเพรียกหา

เป็นตำราบทเขียนเพียรเล่าขาน

เป็นบทรู้บทภูมิปัญญาทาน

สืบตำนานภูแลนคาให้หล้ารู้

 

 

 

หน้า ๗

คิดถึงวันก่อนเก่ามีเจ้าอยู่

ได้เคียงคู่อยู่ป่าพณาสวรรค์

ปลูกมะเขือปลูกพริก ปลูกเผือกมัน

                เก็บฟืนบั่นเป็นท่อนก่อนกล่อมนอน

อยู่กับลูกพักเพิงผาท้าชีวิต

ค่ำคืนคิดเสียงนกแสกมาหลอกหลอน

เสียงนกเค้าฮูกฮูกกอดลูกนอน

เมียขวัญอ่อนคุดคู้กับลูกยา

                จักจั่นเรไรพร่ำร้องเรียก

                ใจก็พรั่นเพลงเพรียกเรียกหา

                รีบปลุกน้องกลอยใจให้ตื่นมา

                ดูดนมแม่จ๊ะจ๋าจะสายแล้ว

แม่ขายผักของป่าทั้งหนอไม้

กระเจียวไพรผักหวานเพื่อลูกแก้ว

ทั้งเห็ดหอมกลางป่ามัดมันแกว

เธอคือแก้วกลางดงพงไพร

 

 

 

หน้า ๘

                เดินหนังสือพิมพ์ส่งวันส่งสาร

                เพื่อได้อ่านแขกมาพาสงสัย

                ก่อนหิวข้าวได้อ่านสบายใจ

                เงินทองได้ซื้อนมเลี้ยงลูกมา

จนบัดนี้อยู่ดีมีความสุข

ทั้งลาภยศสรรเสริญสุขก็มาหา

ได้เป็นครูข้างดอยภูแลนคา

ใจพรรณนาอยู่ภูผาตลอดวัน

                แม้นเป็นสุขกายใจนั้นก็ใช่

                ใครหนอใครก็เข้าใจในคำหวาน

                วันวิสุทธ์  บริสุทธิ์  ตลอดกาล

                แต่ดวงมาลย์แทบสลายมลายลง

ยามจากไกลใครเล่าเฝ้าสงสาร

ไม่เบิกบานแต่ศิษย์ครูเสริมส่ง

มองโรงเรียนช่องสามหมออ่อนล้าลง

เคยอยู่คงว่าจะเป็นครูบ้านไพร

 

 

 

หน้า ๙

ด้วยหัวใจเปี่ยมล้นด้วยคุณค่า

บาทบาทาทรงเสริมส่งให้สดใส

โรงเรียนกลับเลิกล้มทนสลดหดหู่ใจ

เหตุไฉนใครลิขิตชีวิตเรา

                เคยเห็นหมู่กระรอกวิ่งหยอกเย้า

                กระแตเจี๊ยกใต้ร่มเงายามแสดเผา

                จับคู้ร้องเรียกขานประจานเรา

ไม่มีคู่เคลียเคล้าก็เศร้าตรม

หมู่วิหคบินมาถลาเล่น

โพระดกเหลืองอ่อนดูคู่เหมาะสม

น่าอิจฉาจับคู่ชู้ชื่นชม

คลายเศร้าตรมอยากเป็นนกวิหคลอย

                ยามย่างเดินย่างเหยียบพงหนาม

                ระยะยามเช้าผักหวานมือน้อยสอย

                เด็ดเก็บยอดเพลินเดินเล่นเพื่อคนคอย

                เพื่อลูกน้อยได้ดื่มนมแทนแม่เรา

 

 

หน้า ๑๐

หมู่ใบตองเหลืองอ่อนระยิบระยับ

ว่าจะพับใบตองยามขลาดเขลา

เมื่อยามจนคุ้มราคาคุณค่าเรา

ว่าขลาดเขลาเพราะไม่กลัวว่าอับจน

                สักวันหนึ่ง  คนดีศรีของแม่

                คอยเหลียวแลคอยอุ้มอ้อมยามสับสน

                แม้จะทุกข์ก็จะสู้ครูของคน

                ไม่มีจนเพราะมีแม่กำลังใจ

 

ขอพักแรมผ่อนกายไว้ตรงนี้

จะชั่วดีเจ็ดยามหายสงสัย

เพลินความชอบความดีตลอดไป

จิตสดใสไม่เศร้าตรมชมดอกไม้

                ว่าชีวิตดั่งสายน้ำไหล

                ชมพฤกษ์ก็จะสมภิรมย์หมาย

                ชมภูเขาว่า  ผาแดงยามแลงกลาย

                แดงสดใสสะท้อนแสงเต็งรังยิ้ม

 

หน้า ๑๑

 

ท้าวผาแดงนางไอ่ใครใคร่รู้

คู่คุดคู้  อ่อนล้าแก้มพิมพ์พริ้ม

คู่สุขสมเพียรยามยากโอ้แม่พิมพ์

ขอรอยยิ้มแก้มน้องนางอยู่กลางไพร

                เสียงนกแต่ดแต้แต้ต้อยต้อยตีวิด

                บรรเจิดบิดกายกล้าถลาไถล

                ลงสู่ดินเหินฟ้าว่ากลับกลาย

                ยืนชูคู่ขาเดียวดายอยู่บนดิน

ไม่จับไม้โบยบินไม่เคยหลับ

แต๊ดแต้หลับคล้ายอยู่คู่สมถวิล

คล้ายล่อหลอกบินเป็นเงาพรึบพรึบบิน

เหมือนอยู่คู่ห่วงถิ่นถวิลนาง

                นกอีจู้ว่าจู้ชู้ชูชื่น

                ยามค่ำคืนหลับสนิทคล้ายคลายเงา

                ยามแดดส่องแสงแดดแผดร่มเงา

                อีจู้เคร้าเฝ้าเรียกจู้ชู้ชี้ชม

 

 

หน้า ๑๒

 

นกขมิ้นเหลืองอ่อนแรงอ่อนหล้า

อยากจะว่าเพียรหาคู่พอสุขสม

ต้องขาดคู่ไม่อยู่อย่างภิรมย์

ยามค่ำตรมนอนเดียวดายขาดรังนอน

                นกกระปูดตาแดงร้องปูดขัน

                เร่งพนันแย่งคู่พอสู่สม

                อารมณ์ได้หมายชู้ชี้คู่ชม

                แผ่ภิรมย์แตกลูกหลานประจานใคร

ดูดุเหว่าฟังเสียงวอนร้องเรียก

เป็นเสียงเพรียกขับขานเป็นไฉน

บอกไม่ถูกบอกไม่ได้อยู่กับใคร

คอยลอบไข่วางไว้ใครเล่าฟัก

                เจ้านกเขาใหญ่ชวาเบิกบานยิ่ง

                พรึบพรึบบินครองคู่อยู่เป็นหลัก

                คู่ไม้ใหญ่คู่ประดู่เพียงคู่รัก

                เยาะหยอกรักทักเล่นเป็นวิวาห์

 

 

หน้า ๑๓

ชวาแดงแลงเย็นบินเป็นฝูง

ระยางยูงถลาเล่นฉวัดเฉวียน

ฝูงคู่อยู่คู่เย้าทุกเช้าเวียน

ชมเพลินเรียนวิหคอยู่คู่ภูงาม

                ภูผาแดงแลนคาเป็นหว่างช่อง

                ภูขาดปล่องช่องฝางเป็นเขตขาม

                อุทยานแห่งฟ้าภูแสนงาม

                ท่องลำนำชมเถื่อนถ้ำสุขยิ่งเอย

                                                                    ครูบ้านไพร

 

                                  (นายประยุทธ เม็นไธสง)

                                ครูอันดับ  คศ.  2     ชำนาญการ

                                   โรงเรียนบ้านขุมปูน

                                        28/06/2548

 

 

 

 

 

 

ภาคผนวก

 

 สงวนลิขสิทธิ์เผยเเพร่โดย

นามไพร  ประยุทธ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท