ฝากบทความดีๆจากเพื่อนชีวิตมาให้อ่านกันครับ : บอม
ขณะที่ดิฉันกำลังจะเริ่มเขียนบทความเรื่องหนึ่งสื่อสารกับผู้อ่านผ่านหน้ากระดาษแห่งนี้ ฝนยามหน้าร้อนก็เทสาดลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา พร้อมๆกับลมที่พัดแรงมากๆจนต้นไม้ที่ปลูกไว้ล้มลง ผ้าที่ตากไว้ริมระเบียงห้อง ถ้วยชามที่กำลังผึ่งแดด และเสื้อผ้าที่ยังไม่ซักอีกตะกร้าก็พร้อมกันปลิวว่อนจนแทบเก็บไม่ทัน นี้ยังไม่นับยามที่ลมฝนปะทะมาที่หน้าจนเจ็บร้าวไปหมด ฉันรีบเรียกเพื่อนชีวิตที่กำลังนอนอ่านหนังสืออยู่ให้มาช่วยเก็บผ้าเข้าไปในห้อง เก็บถ้วยชามที่หลายใบก็แตกร้าวลงแล้วไปทิ้ง ยกตะกร้าเข้ามาเพื่อไม่ให้เปียกมากไปกว่าเดิม กล่องรองเท้านับสิบคู่ที่ยังไม่รู้จะจัดการอย่างไร หลายอย่างเก็บไม่ทันก็ถูกทิ้งไว้ให้เปียก หลายอย่างก็ถูกเก็บเข้ามาในห้องบ้างแล้ว ละอองฝนเริ่มสาดเข้ามาอย่างเมามันมากขึ้น พื้นห้องบางส่วนเริ่มเจิ่งด้วยน้ำ ดูว่าสถานการณ์จะไม่มีทีท่าดีไปกว่าเดิม ฝนเริ่มตกหนักขึ้นๆ เสียงฟ้าร้องข้างนอกคำรามจนน่ากลัว ไม่นับลูกเห็บเล็กๆที่ตกใส่หลังคาบ้านข้างๆจนได้ยินดังมายังห้อง ในที่สุดดิฉันก็ทนไม่ไหวไม่เก็บอะไรอีกแล้ว ตัดสินใจปิดประตูห้องแทน ความน่ากลัวน่าวุ่นวายจากภายนอกที่เผชิญเมื่อสักครู่ ก็ถูกทำให้หายไปยามเราปิดประตูไม่เห็นภาพนั้น
เวลาฝนตกทีไร ดิฉันมักจะนึกถึงบ้านที่ริมฝั่งน้ำแม่กลองทุกที
บ้านที่หน้าบ้านติดแม่น้ำ และหลังบ้านติดถนน
แถวบ้านริมน้ำจะเรียกบ้านด้านที่ติดแม่น้ำว่า “หน้าบ้าน”
เคยมีคนกรุงเทพมาบ้านเราแล้วบอกว่าจะไปดูแม่น้ำที่หลังบ้าน
คนที่บ้านงงกันเล็กน้อย เพราะหน้าบ้านของคนกรุงเทพเขาติดถนน
แต่หน้าบ้านเรา“ติดแม่น้ำ” บ้านริมน้ำจะมีนอกชานยื่นออกมาจากตัวบ้าน
นอกชานนี้เป็นพื้นที่ที่คนในครอบครัวใช้ทำกิจกรรมร่วมกัน
ตอนเช้าจะเป็นที่ซักผ้า ตากผ้า ทำกับข้าวด้วยเตาถ่าน
นั่งกินข้าวเช้าด้วยกัน ล้างจานชามและรอผึ่งแดดให้แห้ง
ตอนสายๆถึงบ่ายจะเป็นที่พักผ่อนนอนหลับของคนที่อยู่บ้าน
เป็นที่ผูกเปลกล่อมเด็กให้นอนกลางวัน
เป็นที่วิ่งเล่นหรือกระโดดยางของเด็กๆยามไม่ได้ไปโรงเรียน
ตอนเย็นถึงค่ำเป็นที่ทำกับข้าว กินข้าวเย็นร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง
และหลังจากนั้นแต่ละบ้านก็จะออกมานั่งคุยกันจนดึกดื่น
ฉะนั้นหน้าบ้านของเรา คือ
พื้นที่ทำกิจกรรมมากมายของครอบครัว
พอหน้าฝนเดินทางมาถึงอย่างไม่ตั้งตัว พื้นที่หน้าบ้านกลายเป็นเรื่องสนุกทุกครั้งของคนที่นั่น “ฝนตกแล้ว ฝนตกแล้ว เก็บผ้าเร็ว” เสียงตะโกนจากบ้านโน้นบ้านนี้ที่ส่งเสียงบอกบ้านอื่นๆดังแข่งกันระงม ฉัน อา น้องๆ ซิ้ม ต้องรีบกระโจนออกมาจากในบ้านอย่างรวดเร็ว กิจกรรมที่แต่ละคนง่วนอยู่ต้องถูกหยุดพักชั่วขณะ ต่างคนต่างรู้หน้าที่ ช่วยกันเก็บผ้า กะละมัง จานชาม เลื่อนโต๊ะเข้ามาข้างใน เก็บอุปกรณ์ทำกับข้าวให้พ้นน้ำฝน รีบเปิดโอ่งรอน้ำฝน รีบไปเอาสายยางมาต่อที่รางน้ำ ดูหลังคาว่าสกปรกหรือเปล่า รีบกวาดใบไม้ทิ้งให้หมดไม่อย่างนั้นจะอุดตันรางน้ำ วิ่งไปปิดหน้าต่างประตูข้างบนบ้าน หลังบ้าน หน้าบ้าน เตรียมกะลังมังรอน้ำฝนที่รั่วหยดลงมาจากหลังคา เตรียมผ้าขี้ริ้วไว้ซับน้ำที่กระเด็นและซึมเข้ามาจากฝาบ้าน เตรียมเทียน ไฟฉายให้พร้อมถ้าไฟดับ
ถ้าฝนตกตอนกลางวันบางบ้านอาจมีคนอยู่คนเดียว
โอกาสที่จะเก็บข้าวของไม่ทันแรงลม แรงฝนจะเกิดขึ้นได้ง่ายมาก
หลายบ้านที่คนอยู่เยอะก็ต้องแบ่งแรงไปช่วยอีกบ้านหนึ่งทันที
ถ้าบางบ้านไม่มีคนอยู่เลย อีกบ้านหนึ่งก็ต้องรีบไปเก็บผ้า เก็บจานชาม
เก็บของต่างๆที่คาดว่าน่าจะเปียกฝนเข้ามาไว้ที่บ้านตัวเองก่อน
เวลาฝนตกหนักๆลมแรงๆอย่างนี้ ทุกๆคนจะรู้เองว่าใครจะต้องทำอะไร
ไม่มีใครสามารถนั่งอยู่เฉยได้
เรื่องเครียดยามดิฉันอยู่หอกลายเป็นเรื่องสนุกยามอยู่บ้าน
เพราะอยู่บ้านเราจะมีคนช่วยมากมายยามฝนตก แต่อยู่หอยิ่งอยู่คนเดียว
หน้าฝนมาพร้อมกับความเหงาและความไม่สนุกเสียจริง
ผู้อ่านคงสงสัยว่าทำไมดิฉันต้องเล่าเรื่องฝนตก ดิฉันรู้สึกอย่างนี้จริงๆว่าเวลาฝนตกทำให้เราเห็นอะไรๆมากมาย เมื่อก่อนที่เป็นเด็กอาจไม่รู้สึกอะไร เพราะเก็บของเข้าบ้านจนเคยชิน แต่พอโตขึ้น ได้คิดมากขึ้น และนั่งมองเรื่องราวต่างๆ ดิฉันว่ามันไม่ธรรมดา เรื่องเหล่านี้ทุกวันนี้ก็ยังเกิดขึ้นที่นั่นจนเป็นปกติ และยิ่งวันไหนดิฉันกลับบ้านยามฝนตก กิจกรรมเหล่านี้ย้อนกลับกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตทันที ฝนตก กลายเป็นเวทีหรือพื้นที่การมีส่วนร่วมของคนในครอบครัว ในชุมชนริมน้ำที่นั่นอย่างเต็มใจ
ในกรุงเทพสภาพที่บ้านเรือนเป็นบ้านหลังๆในหมู่บ้านหรือไม่ก็ทาวเฮาส์
คอนโดมิเนียม อพาร์ตเมนท์ พอฝนตกต่างคนก็ต่างปิดบ้าน
ปิดประตูห้องกลับเข้ามาอยู่ในบ้านตัวเอง
โอกาสที่จะได้เจอกับกิจกรรมอย่างนี้เป็นไปได้น้อย
นี้ไม่นับที่ปกติคนก็ไม่ค่อยได้คุยกันอยู่แล้ว เพราะต่างคนต่างอยู่
กลางวันก็ต้องเดินทางไปทำงาน กลางคืนก็ต้องพักผ่อน ไม่มีใครรู้จักใคร
ยิ่งเวลาฝนตก
โอกาสที่ผ้าบ้านหนึ่งที่ตากไว้จะเปียกฝนเป็นไปได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
ลองมองไปบ้านข้างๆผ้าตากอยู่
และน้ำก็เริ่มหยดลงทีละน้อยๆจนในที่สุดก็กลายเป็นผ้าเปียกโชกอีกครั้งหนึ่ง
ใกล้แค่เอื้อมแต่เก็บให้ไม่ได้
จะปีนกำแพงเตี้ยๆที่กั้นอยู่ไปช่วยเก็บก็กลัวถูกบุกรุก
จะเข้าทางประตูรั้วด้านหน้าก็ขลาดเกินไป เออละหนอ! ผ้าเราถูกพับเก็บอย่างดี พรุ่งนี้บ้านเขาจะมีผ้าใส่ไหม?
แอบคิดในใจ “ถ้าเรารู้จักกัน
ผ้าคงไม่เปียกเช่นวันนี้”
ดิฉันพยายามถามตัวเองว่าจะทำอะไรได้บ้างที่จะทำให้เราช่วยกันเก็บผ้า
โดยเฉพาะผ้าบ้านข้างๆที่เขาตากแดดไว้หลายตัว
หลายคนอาจบอกว่าอย่าไปยุ่งเรื่องคนอื่นเลย
แค่เรื่องตัวเองก็เหนื่อยแล้ว แต่ดิฉันอยากให้มองอีกมุมหนึ่ง
ไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไปนัก ผ้าเราเราก็คงไม่อยากให้เปียก
เขาก็คงไม่อยากให้ผ้าเขาเปียกเหมือนกัน ผ้าเปียกจะเหม็นอับ จะชื้น
แม้ตากใหม่ก็ไม่หายเหม็น บางทีอาจขึ้นรา
และที่สุดเขาก็ต้องซักใหม่อีกครั้งหนึ่ง
ฉะนั้นดีที่สุดอย่าทำให้ผ้าเปียกเสียดีกว่า
แล้วผ้าเปียกจากฝนตกเกี่ยวอะไรกับเรา?
หลายคนอาจสงสัย
ดิฉันอยากชวนผู้อ่านคิดเล่นๆร่วมกันว่า
ทำอย่างไรล่ะไม่ให้ผ้าเปียก? คำตอบที่ได้ก็คือต้องช่วยกันเก็บผ้า
เราจะช่วยบ้านอื่นเก็บผ้าได้ เราก็ต้องรู้จักเขาก่อน
เป็นเพื่อนกันก่อน และไว้ใจวางใจกันก่อน
เพราะไม่อย่างนั้นเราก็จะไม่กล้าเก็บ
เพราะเก็บไปแล้วก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร จะโดนว่า
จะโดนกล่าวหาว่าจุ้นจ้าน
หรือถูกว่าว่าเป็นขโมยหรือเปล่า
มันเป็นเรื่องยากเหมือนกันที่เราจะเริ่มต้นรู้จักบ้านข้างๆ
ห้องข้างๆ ที่ไม่เคยรู้จักกันเลย เป็นใครก็ไม่รู้
ไว้ใจได้หรือเปล่า “อย่าพึ่งคิดถึงมันค่ะ
เก็บความคิดนี้ไว้สักพักก่อน”
ลองเริ่มต้นครั้งแรกๆจากการยิ้มให้กัน ทักทายกัน ไถ่ถามกัน
พูดคุยกัน จากทีละนิด ทีละน้อย ค่อยๆทยอยเพิ่มให้มากขึ้น
แล้ววันหนึ่งเขาจะยิ้มตอบให้เราเอง เมื่อคนยิ้มให้กัน
ความรู้จักกันก็จะเริ่มต้นขึ้น เมื่อคนรู้จักกัน
ก็จะกลายมาเป็นเพื่อนกัน คิดถึงกัน นึกถึงกัน
และในที่สุดก็จะช่วยเหลือกันเอง
ดิฉันนึกถึงพี่ห้องข้างๆห้องหนึ่งเป็นคนใต้จากหาดใหญ่ เมื่อก่อนดิฉันก็ไม่รู้จักพี่เขา ไม่กล้าพูดคุย แต่วันหนึ่งต้องอยู่คนเดียว เพื่อนชีวิตเดินทางไปต่างจังหวัด เริ่มกังวล เริ่มคิดมากว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นจะเป็นอย่างไร? ใครจะช่วยเหลือ ? คิดไปต่างๆนานา เช้าวันรุ่งขึ้น ดิฉันเริ่มต้นใหม่ เริ่มยิ้มให้พี่เขา เริ่มทักทาย ซื้อของมาฝาก ไถ่ถามกัน ดูแลกัน จนถึงวันนี้ 6 ปีแล้ว ห้องดิฉันไม่เคยถูกงัด ถูกขโมยของเหมือนกับห้องอื่นๆ แม้จะไม่มีกุญแจล็อคหลายชั้นเหมือนอีกหลายๆห้องก็ตามที
“ลองเริ่มทำดูนะคะ”
แล้วจะรู้ว่ารั้วบางๆที่ขวางกั้น “เรา” กับ “เขา”
ไว้ทั้งรั้วจริงๆและรั้วในใจเราจะเริ่มทลายลงทีละนิดๆ
อาจไม่ใช่วันนี้ พรุ่งนี้ หรือมะรืนนี้ แต่ถ้าเราลองเริ่มต้น
รั้วจริงอาจยังไม่เปิดรับ แต่รั้วในใจอาจเริ่มกร่อนลง
และเปิดกว้างสำหรับความรู้สึกที่ดีๆที่เดินทางมาเยือนอย่างยิ้มแย้ม
ฝนเมืองกรุงคงเม็ดโตและแรงจัด เพราะแม้แต่ลมฝนยัง...
"ลมฝนปะทะมาที่หน้าจนเจ็บร้าวไปหมด" และ "ตกอย่างเมามัน"
อ่า ฝนเมืองกรุงนี่น่ากลัวจริงๆ ถ้าต้องวิ่งไปเก็บผ้าคงถูกฝนกระหน่ำจนพิการได้ ขอแสดงความเห็นว่า คนไร้นามคงไม่กล้าออกไปเก็บผ้าให้คนข้างบ้านหรอก รอฝนหายค่อยไปเก็บมาแล้วช่วยซักให้เขาดีกว่า
ส่วนที่ว่าเป็นเพื่อนกับคนหาดใหญ่แล้วห้องไม่ถูกงัด
..อ่านแล้วแปลกๆ เขาอาชีพเก็บของในห้องคนอื่นไปขายหรืออย่างไร
เอาที่หละประเด็นแล้วกัน
ประเด็นแรกเรื่องเม็ดฝน วันนี้เม็ดฝนเม็ดโตจริง ๆ เข้าใจว่ามีลูกเห็บเล็ก ๆ ตกลงมาเป็นเพื่อนกับฝนเสียด้วย ทำให้ต้องบรรยายประมาณนั้นเลยนะนั่น อิอิอิ
ส่วนประเด็นที่สอง คือ เวลาอยู่กรุงเทพฯ เราก็จะพบเห็นผู้คนต้องล๊อคห้องเสียมากมาย ยิ่งตามหอพัก หรือตามคอนโดมีเนียมบางครั้งล๊อคสามสี่ชั้นเข้าไปโน่น (อิอิอิ เขียนให้ดูเว่อร์นิดหน่อย) แต่ห้องของเราไม่ได้ล๊อคโดยใช้แม่กุญแจมาพักใหญ่(แต่กดล๊อคลูกบิดนะ) คือโดยช่วงแรก ๆ เราก็กลัวนั่นกลัวนี่ตามประสา กลัวว่าไม่อยู่ห้องนาน ๆ แล้วจะโดนงัดหรือเปล่า จะโดนขโมยหรือเปล่า วิธีการที่ดีที่เราพบคือการผูกสัมพันธ์กับห้องตรงข้าม ห้องข้างๆ ช่วยกันดูแล ก็พบว่าเราไม่มีปัญหาในเรื่องห้องถูกงัดหรือถูกขโมยเลย
เรื่องพี่เขา ก็พี่เขาเป็นคนหาดใหญ่ และเป็นเพื่อนบ้านที่ดี ช่วยกันสอดส่องดูแลห้องเมื่อเราไม่อยู่บ้าน เราเลยพบว่าวิถีแบบคนต่างจังหวัดที่มาอยู่กรุงเทพฯ ที่ยังมีความเป็นชุมชนอยู่ระดับหนึ่งอย่างน้อยมันสร้างความสบายใจ ความปลอดภัยระดับหนึ่ง เราเชื่อว่าความเอื้ออาทร ความดูแลใส่ใจ ความห่วงใยแบบที่เคยมีในชุมชนแบบเดิมยังมี เพียงแต่เราต้องสร้างมันขึ้นมา นะจ๊ะ อิอิอิ
เออละหนอ เชื่อแล้วว่า ชีวิตในเมืองกรุงมีอะไรๆ ให้เป็นประเด็นหยิบจับขึ้นมาเป็นเรื่องเป็นราวได้ และก็สามารถสานต่อให้เป็นประเด็นอะไรได้อีก อย่างเช่นเป็นเพื่อนกะคนหาดใหญ่... (คิดอะไรให้มากมายได้ขนาดนั้น แหม!...) ชีวิตคนเรามีอะไรให้คิดอีกเยอะ อย่ามาคิดกะอะไรๆ ที่ยุ่งยากเลยครับ บางทีชีวิตมันก็ไม่ต้องมีทฤษฎีใดๆ มาครอบคลุมหรอก..