การปรับตัวเพื่อความอยู่รอดของสรรพสัตว์ต่างๆ


การปรับตัวของสรรพสัตว์ทั้งหลาย จากสัตว์ป่าเป็น "สัตว์เมือง"

ได้ทราบข่าวจากสื่อต่างๆเกี่ยวกับการสร้างความเดือดร้อนของสัตว์ต่างๆที่มีต่อมนุษย์ เช่น พบอีเห็นที่ทำเนียบรัฐบาล ชาวบ้านผวาแมงมุมแม่หม้ายสีน้ำตาล จึงเกิดความอยากที่จะแสดงความคิดเห็นในฐานะที่เราอยู่ป่า เกิดกับป่า อยู่กับป่า เรียนรู้เรื่องราวชีวิตของสัตว์โลกตามสภาพจริง เป็นองค์ความรู้ที่ตกผลึกตามประสบการณ์เดิมที่ได้พบเห็นเรียนรู้มา มิได้เรียนรู้มาจากหลักวิชาไม่ว่าด้านกีฏวิทยา หรือด้านชีววิทยา จากการที่สัตว์เริ่มหันเหชีวิตเข้าสู่ตัวเมือง อาศัยตามตึกรามบ้านช่องสร้างความรำคาญหวาดกลังแก่มนุษย์ สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น เป็นลางบอกเหตุว่าสัตว์ต่างๆเริ่มปรับตัวจากภาวะการเปลี่ยนแปลงของโลกและระบบนิเวศ จากเดิมที่เขาอยู่ป่ามีอาหารการกินบริบูรณ์ ไม่ถูกรบกวนจากมนุษย์มากนัก ปัจจุบันความอดอยาก เภทภัยมากมายที่เข้าไปเบีนดเบียนเขา รวมถึงการทำลายป่า การบุกรุกป่าที่มากขึ้น ด้วยสัญชาติญาณการเอาตัวรอดจึงต้องปรับตัวให้ได้ อีกประการหนึ่งเนื่องจากมีมนุษย์จำพวกหนึ่งชอบสะสมเลี้ยงสัตว์ไว้ดูเล่น ทำให้ชีวิตสัตว์เหล่านั้นเปลี่ยนไป ไม่ได้เรียนรู้ชีวิตจริงในธรรมชาติเฉกเช่นเทือกเขาเหล่ากอของมัน เมื่อต้องถูกทอดทิ้งจึงไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้เมื่ออยู่ป่า สิ่งแวดล้อมเดิมที่พบเห็นก็เป็นสังคมเมือง ไม่ใช่สังคมป่า จึงพึงพอใจอยู่เมืองมากกว่าอยู่ป่า ด้วยเหตุผลข้างต้น สัตว์เหล่านี้จึงปราถนาที่จะอาศัยอยู่ในเมือง ยิ่งเกิดลูกเกิดหลานมากขึ้น ลูกหลานเหล่านั้นก็ได้เรียนรู้แต่สังคมเมือง จึงหนีคำว่า "สัตว์เมือง"ไปไม่พ้น เมื่อเป็นเช่นนั้น มนุษย์ก็เกิดความกลัว คิดไปต่างๆนาๆ บางคนก็นึกว่าเสียงดังกุกๆกักๆตามเพดานเพราะถูกผีหลอก บางคนถูกแมงมุมกัดเกิดอาการแพ้ แล้ววิพากย์วิจารว่า อาจเป็นแมงมุมที่มีพิษร้ายเช่น แมงมุมแม่หม้ายดำในอเมริกา อยากให้คำตอบว่า อย่าได้เกรงกลัวเลย การที่สัตว์กัดมนุษย์นั้นเนื่องจากเป็นสัญญาณชาติญาณการป้องกันตัว มิใช่เกิดจากความดุร้าย ขอเพียงมนุษย์อย่าไปรังแกมัน มันก็จะไม่ทำร้ายมนุษย์แน่นอน เมื่อ 20 กว่าปีที่ผ่านมา ผมออกไปล่าสัตว์ซึ่งมีอยู่ชุกชุมในสมัยนั้น ผมกับเพื่อนสองคนถูกเสือโคร่งสะกดรอยตาม สังเกตจากรอยเท้าของมันที่เปียกชุ่มด้วยน้ำตอนขากลับ จึงกลับมาคิดว่า มันจะตามเราไปทำไม ก็วิเคราะห์คำตอบเอาเองว่า มันคงเกิดความสงสัยว่ามนุษย์เป็นสัตว์จำพวกไหนซึ่งมันคงไม่เคยเห็นมาก่อน อีกครั้งหนึ่งผมนั่งห้างยิงกวางในป่าใหญ่ทันทีที่เสียงปืนดังกวางก็ล้มลง เสือโคร่งก็ร้องดังโฮกใกล้ๆนั่นเอง นี่ก็แสดงว่ามันกำลังตามกวางมาเพื่อรอจังหวะจู่โจม อีกครั้งหนึ่งผมไปส่องสัตว์ ณ ป่าใหญ่แห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยหน้าผาสูง ขากลับผมวาดไฟไปบนหน้าผาโดยไม่ตั้งใจ พบลูกตาสีแดงสองดวง จึงประทับปืนยิงขึ้นไปปรากฏว่าเป็นเสือโคร่งยาวประมาณ 6 ศอก มันคงตามผมไป สังเกตผมทุกฝีก้าวโดยไม่ทำร้ายแต่อย่างใดทั้งๆที่มีโอกาส ท่านผู้อ่านครับ สัตว์ทั้งหลายมีความรู้สึกเหมือนมนุษย์ รู้จักหิว รู้จักความสงสัยอยากรู้ รู้จักการแสวงหาความสุข ที่สำคัญมันก็กลัวตายเหมือนมนุษย์ เขามาอยูร่วมกับเราโดยไม่ได้ขออนุญาตเพราะเขาเป็นสัตว์ ให้รู้อภัยและเกื้อกูลเขาเถิด เขาไม่มีมันสมองที่จะคิดช่วยเหลือตัวเองทัดเทียมมนุษย์ เขาเพียงแต่ขอพึ่งพาอาศัยเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งจากมนุษย์เท่านั้นเอง จะใจดำไปถึงไหน "สัตว์ มนุษย์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุขเป็นสุขเถิดอย่าได้มีเวรมีกรรมซึ่งกันและกันเลย" ให้รู้จักปลงเสียบ้างก็จะดี มาถึงปัจจุบันผมคิดอยู่เสมอว่าบาปกรรมที่ผมทำลงไป จากการใช้ชีวิตล่าสัตว์เมื่อเป็นครูดอย ผมไม่ได้ทำเพราะความคึกคะนอง แต่ผมทำเพื่อความอยู่รอดเพราะสัตว์เป็นอาหารของมนุษย์ ถึงอย่างไรก็ตามบัดนี้ผมระลึกได้แล้วว่าสิ่งที่ผมทำลงไปมันเป็นบาปเป็นกรรม ผมจึงขอน้อมรับที่จะรับผลกรรมนั้น มาบัดนี้ผมจึงปวารณาตัวจะไม่ฆ่าสัตว์อีกต่อไป จึงอยากฝากความหวังดีถึงเพื่อนมนุษย์ที่กำลังเดือดร้อนเพราะสรรสัตว์เหล่านั้น ให้คิดในทางบวก เห็นใจสงสารเขา ให้ที่พักพิงแก่เขาบ้างเมื่อมีโอกาส อย่าคิดว่าเขามาเบียดเบียนเรา เขาเพียงมาขอพึ่งเราเท่านั้นเอง "การรู้จักให้ จะทำให้ใจเป็นสุข" อาจารย์เก



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท