เวลา 8.00 น. ของวันที่8เม.ย.รถบัสมาจอดรอที่หน้าตึกคณะเพื่อพาพวกเราชาวสโมฯทันตะไปที่เขตห้ามล่าสัตว์ถ้ำผา-ท่าพล อ.เนินมะปราง ทีแรกเราก็นึกว่าใกล้ๆ ที่ไหนได้นั่งรถไปครึ่งชม.แล้ว "ยังไม่ถึงอีกเหรอเนี่ย?" เลี้ยวเข้าทางดินแดงมั่ง เลี้ยวเข้าทางคอนกรีตมั่ง จนทิวทัศน์รอบทางเริ่มเปลี่ยนไป สังเกตเห็นได้จากภูเขาหินปูนที่ตั้งตระหง่านอยู่ทั้ง2ข้างทาง รถเริ่มเข้าใกล้ภูเขาหินขึ้นเรื่อยๆจนเรามาถึงที่ซักที
ก่อนอื่นขอบอกก่อนว่านี่เป็นครั้งแรกที่ลองมาเขียนblogดู
ผิดพลาดยังไงก็แนะนำด้วยนะคะ
เริ่มรู้จักblogของที่นี่เพราะได้อาจารย์ต้อม ( ศศลักษณ์ )
แนะนำมาก็ตอนที่สัมมนานั่นแหละ
เวลา 8.00 น.
ของวันที่8เม.ย.รถบัสมาจอดรอที่หน้าตึกคณะเพื่อพาพวกเราชาวสโมฯทันตะไปที่เขตห้ามล่าสัตว์ถ้ำผา-ท่าพล
อ.เนินมะปราง ทีแรกเราก็นึกว่าใกล้ๆ ที่ไหนได้นั่งรถไปครึ่งชม.แล้ว
"ยังไม่ถึงอีกเหรอเนี่ย?" เลี้ยวเข้าทางดินแดงมั่ง
เลี้ยวเข้าทางคอนกรีตมั่ง จนทิวทัศน์รอบทางเริ่มเปลี่ยนไป
สังเกตเห็นได้จากภูเขาหินปูนที่ตั้งตระหง่านอยู่ทั้ง2ข้างทาง รถเริ่มเข้าใกล้ภูเขาหินขึ้นเรื่อยๆจนเรามาถึงที่ซักที
เราได้นำของเข้าที่พักและเริ่มประชุมกันทันที เริ่มแรกด้วยพี่เอ็ม
ประธานสโมฯคนเก่ามาสรุปกิจกรรมที่ทำไปเมื่อปีที่แล้ว
และต่อด้วยพี่แจ็ค
ประธานคนปัจจุบันที่เล่าถึงกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นปีนี้
จากนั้นในช่วงบ่ายเราได้ปั่นจักรยานเที่ยวชมถ้ำผา-ท่าพลกันซะทั่ว
ที่นี่มีถ้ำต่างๆมากมาย
เราเริ่มต้นกันที่ซากดึกดำบรรพ์ที่เห็นซากฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตในทะเลขนาดเล็ก
แถมที่นี่ยังเห็นลิงตัวเล็กตัวน้อยวิ่งกันให้ทั่ว
แต่ลิงที่นี่มารยาทดีนะคะ ไม่ก่อกวนเราเลย
นั่งมองพวกเราตาปริบๆอยู่บนต้นไม้นั่นเอง
แอบสวยกันหน้าถ้ำ
ลิงภูเขา!!
ถึงแม้อากาศภายนอกจะอบอ้าวมาก
แต่พอเข้าไปในถ้ำแล้วกลับเย็นสบายอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ต้องพึ่งแอร์กันเลย
ถ้ำเรื่อที่มีรูปร่างเหมือนเรื่อแจวคว่ำ
เราต้องลุยน้ำเข้าไปดู(เลอะหน่อยนะถ้ำนี้)
ถ้ำผาแดงที่มีค้างคาวอยู่มากมาย
เข้าไปกินขี้ค้างคาวก็ฉุนเตะจมูกมาเชียว
พี่ที่นำทางเราไปบอกว่าถ้าอากาศหนาวๆจะเห็นมากกว่านี้อีกนับ3ล้านตัวได้
ถ้ำผาฝ่ามือแดงที่ต้องปั่นจักรยานขึ้นภูเขาแถมต้องเดินขึ้นไปอีก
ถึงจะเหนื่อยหน่อยแต่ก็คุ้มเพราะที่นี่เป็นจุดชมวิวที่สวยมากเลย
ถ้ำสุดท้ายที่เราไปกันคือ
ถ้ำนเรศวร แค่เห็นทางเข้าไปก็คิดหนักแล้วเพราะทางเดินแคบกว่าถ้ำอื่นๆอย่างชัดเจนได้แต่เดินเรียงเดี่ยวเข้าไปเท่านั้น
แถมจะเข้าไปได้ต้องหมอบคลานทำความเคารพพระนเรศรเสียก่อน
ช่องทางเข้าที่แคบและเตี้ยมากทำให้เราต้องหมอบคลานเข้าไป
แถมดินบริเวณนั้นก็แฉะจนเลอะไปตามๆกัน จนมาถึงภายในบริเวณถ้ำ
ที่เรียกว่าถ้ำนเรศวรเพราะมีหินงอกหินย้อยมาบรรจบกันกลายเป็นรูปของหมวกพระนเศวรที่เรารู้จักกันในนามของ
"พระมาลาเบี่ยง"
นอกจากนี้เดินเข้าไปลึกอีกจะเห็นหินที่มีรูปร่างคล้ายแรด
(แต่มีเพื่อนเราบอกว่าเหมือนหมี เอาไงดีเนี่ย )
ขากลับออกจากถ้ำพี่ที่พาเราไปได้ชี้ให้ดูแมงมุมถ้ำซึ่งรูปร่างต่างจากแมงมุมที่เราเห็นๆอย่างน่าตกใจ
แมงมุมอะไรตัวดำสนิทแถมมีขามากกว่าแมงมุมบ้านเราซะอีก
ที่สำคัญขนาดตัวที่เท่าๆกันฝ่ามือทำเราขนลุกไปตามๆกัน
มองต่ำจากแมงมุมเสียงกรี๊ดก็ดังขึ้นทันที
งูขนาดย่อมๆกะลังเลื้อยอยู่ตรงนั้น
ไอ้เราก็ไม่รู้หรอกว่างูมันมีพิษเหรอเปล่ารู้แต่ว่าขากลับออกกันไปซะไว 555
พี่ที่พาเราเที่ยวชมอยากฝากบอกนักท่องเที่ยวทุกคนด้วยว่าอย่าเอามือไปจับหินยอกหินย้อยเด็ดขาด
เพราะว่าไขมันจากมือของเราจะไปขัดขวางการสะสมแร่ธาตุ
ทำให้มันไม่งอกต่อไป
ตั้งใจฟังกันใหญ่
จากนั้นเราก็พักเหนื่อยกันหน่อยแล้วเริ่มประชุมต่อในช่วงหัวค่ำถึงรายละเอียดของโครงการต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็น โครงการเชียร์ ไหว้ครู
ค่ายอาสาสานฝัน DF ฯลฯ
หลายๆปัญหาที่เกิดขึ้นในปีที่แล้ว
รวมถึงความคิดเห็นต่างๆ
ได้นำมาซึ่งการพัฒนาเพื่อโครงการในปีนี้ต่อไป
รวมถึงโครงการใหม่ๆที่จะเกิดขึ้นอีก
ก็ต้องคอยดูกันว่าจะเป็นอย่างไร
ช่วงแรกของการประชุมไฟกะลังลุกโชนเต็มที่ brainstrom พัดหมุนรุนแรง
จนนาฬิกาบอกเวลาของวันใหม่ พายุกลายเป็นลมพัดเอื่อยๆ
แต่งานก็ยังเดินต่อไป....ตี1แล้วน้า.....ตี2แล้วอ่ะ...zzz...เผลอหลับไปโทดที
อ่ะต่อๆๆๆ จนพี่แจ็คบอกว่า"อืม วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะครับ
พรุ่งนี้ว่ากันใหม่" ดั่งเสียงสวรรค์ไปละน้า ไม่ไหวแล้ว
หัวถึงหมอนก็หลับทันที แต่พี่แจ็ค รองทั้ง3 - พี่เอ็ม หนุ่ม ศิษฏ์
และปุ้ยเหรัญญฺก (เจ้าหญิงแห่งSEVENA) ยังไม่หมดไฟแค่นั้น
ยังต้องคุยกันต่อจนตี3กว่าๆ สู้กันต่อไป....
เช้าวันรุ่งขึ้นหบังจากที่หลับไปสนิทเราตื่นขึ้นพร้อมกับกลิ่นข้าวต้มหอม
พร้อมกับเสียงของพี่เก๋ที่ปลุกให้ตื่น (เช้าแล้วเหรอ
ขอนอนต่อได้ไหม...) แต่ก็ไม่ได้ เพราะเช้านี้เราก็มีประชุมต่ออีกแล้ว
เป็นการเพิ่มเติมสิ่งที่ยังตกค้างจากเมื่อวานจนจบด้วยความในใจจากทุกๆคนที่นี่
การมาสัมมนาครั้งนี้ให้อะไรเราหลายๆอย่างที่ไม่สามารถหาได้เพียงในชั้นเรียนเท่านั้น
รวมถึงธรรมชาติของที่นี่ก็สวยงามจนไม่อยากกลับเลยที่เดียว
แต่ยังไงๆรถก็มารับพวกเราที่พร้อมจะหอบหิ้วประสบการณ์ครั้งนี้กลับไปพัฒนาตนเองต่อไป
ลาก่อนนะถ้ำฝา-ท่าพล แล้วเราจะกลับมาใหม่บ๊าย บาย