สามวันก่อน ได้รับโทรศัพท์จากผู้แทนยาว่า คนไข้โทรไปขอซื้อยาฉีดตัวหนึ่งจากบริษัท เคยซื้อจากโรงพยาบาลเอกชนซึ่งราคาสูงมาก เขาจึงติดต่อบริษัทเพราะคิดว่าถูกกว่า เขาอยากช่วย แต่ผู้แทนยาไม่สามารถขายยาให้แก่คนไข้โดยตรงได้ ต้องขายให้โรงพยาบาล หรือ คลินิก เท่านั้น
เขาถามว่า เราพอจะช่วยได้หรือไม่ เรารับว่าจะช่วย
สักพัก คุณแม่ของคนไข้ก็โทร.มา เล่าอาการป่วยของลูกสาวอายุยี่สิบปีเศษว่า ป่วยเป็นโรคหลอดสมองเลือด ชักในที่ทำงาน เพื่อนๆ จึงพาไปส่งโรงพยาบาลเอกชน รักษาอยู่ที่นั่นจนทุเลา หมอให้กลับบ้านแต่ต้องฉีดยาต่อไปอีกวันละ 2 เข็ม เป็นเวลา 6 เดือน ยาที่ฉีดเข็มละพันกว่าบาท ถึงคุณแม่ไม่บอกฉันก็รู้ได้ว่าคงหนักหนาสาหัสเอาการ ฉันปรึกษาสามีและบอกไปว่าเราจะหาทางช่วย ขอให้ไปหาที่โรงพยาบาล ให้เอาจดหมายส่งตัวจากโรงพยาบาลเอกชนไปด้วย
วันรุ่งขึ้น เราได้พบคุณแม่ กับลูกสาวที่ป่วย ได้เห็นประวัติการเจ็บป่วยทั้งหมด ฉันติดต่อไปที่ห้องยา รู้ว่าโรงพยาบาลไม่มียาตัวที่น้องฉีด มีอีกตัวซึ่งแทนกันได้ และราคาถูกกว่า คุณแม่คิดอยู่ไม่นานตอบว่า อยากได้ยาตัวที่เคยฉีดอยู่ เรารับว่าจะสั่งให้ แต่ก็ให้คุณแม่ซื้อยาที่โรงพยาบาลใช้ไปก่อนระหว่างที่ยังไม่ได้รับยาตัวที่เคยใช้
ฉันโทร.สั่งยาในวันนั้น น้องนน ผู้แทนยา จัดการให้ยาส่งไปถึงเราภายใน 2 วัน ราคายาเข็มละ สามร้อยกว่าบาท ฉันสั่งมาให้ 30 เข็ม ใช้ได้ครึ่งเดือน
ฉันโทร.แจ้งให้คนไข้มารับยา น้องผู้หญิงที่เป็นคนไข้ มากับคุณพ่อ ฉันส่งยาให้ไปทั้งกล่อง พร้อมใบแจ้งราคาของบริษัท บอกแก่คุณพ่อว่าจะคิดตามราคาที่เราซื้อ และยินดีสั่งยาให้จนกว่าน้องจะฉีดครบ 6 เดือน เพราะเห็นใจและอยากช่วยจริงๆ
คุณพ่อ กับลูกสาว ยกมือไหว้ น้องผู้หญิงร้องไห้ เธอบอกว่า “หนูอยากขอบคุณหมอปิด้วยค่ะ” เธอหมายถึงคุณหมอสามีของฉัน ฉันเข้าไปเรียกเขาออกมารับคำขอบคุณจากใจที่ออกมาพร้อมน้ำตา
คุณพ่อปรารภเบาๆ ว่า “ผมรักษาลูกหมดไป 5 แสนแล้วครับ”
ฉันตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก บอกไปอีกครั้งว่า “มีอะไรให้ช่วยก็แวะมานะคะ อย่าเกรงใจ”
ค่ำวันนี้ ไม่มีอะไรจะทำให้เรามีความสุขมากไปกว่านี้อีกแล้ว.
8 มกราคม 2552