เลปโตสไปโรสิสที่กาฬสินธุ์


แม้กระทรวงสาธารณสุขจะหมดเงินไปหลายร้อยล้านในการรณรงค์ให้ประชาชนหันมาป้องกันตัวเองจากเชื้อเลปโตสไปร่า โดยการโยนบาปไปให้หนู แล้วโปรโมตว่านี่คือโรคที่เกิดจาก "ฉี่หนู" (ทั้งที่ วัว ควาย หมู หมา ก็แพร่เชื้อนี้ได้ทั้งนั้น) แต่เมื่อลงไปพูดคุยกับผู้ป่วยและชาวบ้านในพื้นที่จริง ๆ ชาวบ้านส่วนใหญ่ต่างคิดว่า ไอ้โรคฉี่หนูนี่ มันเกิดจากการได้รับสารพิษจากย่าฆ่าหญ้า

ในที่สุดก็เก็บข้อมูลเลปโตกาฬสินธุ์เสร็จสิ้นเสียที
แต่จะว่าไปมันก็ยังไม่เสร็จสมบูรณ์นัก เพราะยอดยังไม่ได้ตามเป้า คือ 100 ราย คาดว่าคงขาดอีกประมาณ 10 ราย แต่คงต้องหยุดเพียงเท่านี้ก่อน เพราะอ่อนล้าเต็มทน และงานเอกสารอื่น ๆ ก็เริ่มพอกพูนขึ้นจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว

เก็บข้อมูลคราวนี้มีสิ่งที่น่าจดจำสำหรับผมหลายอย่าง ที่ชัดที่สุดคือ การได้เดินเข้าไปในทุ่งข้าว ทุ่งมันสำปะหลัง ตัดผ่านไร่อ้อย ที่ปกติผมได้เพียงนั่งมองสิ่งเหล่านี้จากหน้าต่างรถเท่านั้น มันเป็นความรู้สึกดีที่ได้อยู่ในสถานที่กว้าง ๆ โล่ง ๆ ไม่มีผู้คน และลมที่พัดก็เย็นและสะอาดทำให้รู้สึกยิ่งใหญ่อย่างบอกไม่ถูก

ผมฝันมาโดยตลอดว่าอยากจะขับมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ๆ ไปเที่ยวรอบประเทศไทย เพราะข้อดีของมอเตอร์ไซค์คืออยากจอดตรงไหนก็จอดได้ และสามารถซอกแซกเข้าไปในที่ที่รถใหญ่ไม่สามารถเข้าไปถึง อย่างที่เวลาเรานั่งรถไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญๆ เช่น วณอุทยานแห่งชาติต่างๆ ผมค้นพบว่าสถานที่สองข้างทางที่เราขับรถผ่านไปโดยไม่ใยดีต่างหากที่สวยและน่าสนใจ บางแห่งมีลักษณะเป็นเนินใหญ่ๆ ไม่มีต้นไม้ มีแต่หญ้าคาสูงท่วมหัวและมีทางเดินเล็กๆ ตัดลัดเลาะจากเนินหนึ่งไปอีกเนินหนึ่ง ซึ่งสถานที่แบบนี้แหละที่ผมชอบมาก นอกจากนั้นยังมีสวนผลไม้ของชาวบ้านที่อยู่ในหุบเขา มองลงไปข้างล่างมีลำธารเล็กๆไหลผ่าน ผมว่ามันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สุดยอดกว่าจุดหมายของเราเสียอีก อย่างไรก็ตาม ผมไม่เคยมีโอกาสได้ลงไปเที่ยวในที่แบบนั้นเลยสักครั้ง และมักไปลงเอยที่การโพสท่าถ่ายรูปในจุดชมวิวอันน่าเบื่อหน่าย ร่วมกับคนอีกมากมายที่ไม่เคยสนใจดูอะไรนอกจากเลนส์ของกล้อง แล้วตะโกนว่า "ทำไมแฟลชไม่ออก"

สิ่งหนึ่งที่ได้จากการเก็บข้อมูลเลปโตในครั้งนี้ก็คือ วิธีคิดในการทำงานใหม่ๆ ของผม จากที่ผ่านมาผมรู้สึกว่าจะต้องจัดแจงนั่นโน่นนี่ให้ลงตัว จะต้องเตรียมพร้อมเพื่อให้งานราบรื่น แต่คราวนี้ผมลองวิธีใหม่ ลองทำตัวตามสบาย ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามทางของมัน ปล่อยให้ทุกคนได้ทำหน้าที่ของตัวเอง ไม่นึกกังวลกับอะไรทั้งนั้น ....ปรากฎว่ามันเวิร์คแฮะ ผมไม่ต้องมานั่งกับวลไปจู้จี้จุกจิกกับงานของคนอื่นเหมือนแต่ก่อน เพียงทำตัวเล็ก ๆ แล้วเป็นส่วนหนึ่งของงานเท่านั้น ทุกอย่างก็เป็นไปได้สวย และนี่คงเป็นงานแรกมั้งที่ความเครียดของผมอยู่ในระดับต่ำขนาดนี้ ทั้งๆ ที่มันเป็นงานที่น่าจะเหนื่อยมากงานนึงเลยทีเดียว

มีเรื่องงี่เง่าในการเก็บตัวอย่างน้ำเกิดขึ้นในวันที่ 22 ธันวาคม เพราะศูนย์วิจัยได้โทรมาประสานบอกว่า อยากให้เก็บน้ำลึกสัก 1 เมตรจะได้หรือไม่ เพราะหน้าหนาวแบบนี้อากาศมันร้อน ที่เราเก็บน้ำลึก 1 ฟุตไปนั้น เชื้อมันโดนแดดเผาตายไปก่อน ซึ่งเราก็ยินดีเก็บให้ แต่จะด้วยวิธีไหนล่ะ ถึงจะสามารถเก็บน้ำที่ลึกลงไป 1 เมตรได้ (ตอนหลังผมมานั่งนึกได้ว่า ที่ความลึก 1 เมตรจะยังมีเชื้อเลปโตสไปร่าอยู่หรือ) ด้วยความที่เป็นคนอวดฉลาดของผม ผมจัดการเดินไปซื้อขวดไวตามิลแบบไม่ต้องคืนขวด แล้วนำเชือกมามัดที่คอขวดให้แน่น ใช่ เราจะต้องโยนขวดนี้ลงไปในน้ำ มันก็จะจมลงไปและตักเอาน้ำที่ระดับ 1 เมตรขึ้นมา ตอนที่จินตนาการนั้น ผมไม่มีปัญหาอะไรกับวิธีการนี้เลย จนกระทั่งได้ทดลองทำจริง ถึงได้พบว่า ขวดมันไม่จม!!! เพระอากาศที่อยู่ในขวดจะบังคับให้มันคว่ำหน้าลง และเอาก้นชี้ฟ้าลอยตุ้บป่องๆอยู่อย่างนั้น ซึ่งเป็นเรื่องยากมากที่จะเอาอากาศนั้นออกและทำให้ขวดจม แต่ในที่สุดผมก็ทำได้ มีปัญหาแค่ว่าน้ำที่อยู่ในขวดเป็นน้ำที่ผิวทั้งหมดเลย ไม่ใช่น้ำที่ลึกลงไป 1 เมตร!!!

อีกอย่างที่น่าขำคือ แม้กระทรวงสาธารณสุขจะหมดเงินไปหลายร้อยล้านในการรณรงค์ให้ประชาชนหันมาป้องกันตัวเองจากเชื้อเลปโตสไปร่า โดยการโยนบาปไปให้หนู แล้วโปรโมตว่านี่คือโรคที่เกิดจาก "ฉี่หนู" (ทั้งที่ วัว ควาย หมู หมา ก็แพร่เชื้อนี้ได้ทั้งนั้น) แต่เมื่อลงไปพูดคุยกับผู้ป่วยและชาวบ้านในพื้นที่จริง ๆ ชาวบ้านส่วนใหญ่ต่างคิดว่า ไอ้โรคฉี่หนูนี่ มันเกิดจากการได้รับสารพิษจากย่าฆ่าหญ้า!!! เวลาเราสอบถาม ผู้ป่วยก็จะพูดย้ำ ๆ อยู่อย่างงั้นว่าเป็นเพราะทุกวันนี้มีการใช้ยาฆ่าหญ้ากันมาก และตนเองก็เป็นคนโชคร้ายเพราะไม่เคยไปฉีดพ่นยาฆ่าหญ้าเลย.....เรื่องนี้เป็นเรื่องตลกที่ขำไม่ออก เพราะการที่ประชาชนมีความคิดเกี่ยวกับสาเหตุการเกิดโรคแบบผิด ๆ จะนำไปสู่การป้องกันตนเองแบบผิด ๆ ด้วย จากโรคฉี่หนู กลายมาเป็นโรคยาฆ่าหญ้าได้ยังไง งงจริงๆ

ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ที่อยู่บนรถตู้ไปกับการอ่านหนังสือของริชาร์ด ไฟน์แมน นักฟิสิกส์ที่มีความเป็นมนุษย์อยู่ในตัวสูงมาก และมีความสามารถพอจะทำอะไรก็ที่อยากทำ หนังสือเล่มนี้อ่านสนุกและมีสาระ โดยเฉพาะแนวคิดเกี่ยวกับรูปแบบการเรียนรู้และการศึกษา ที่คุณไฟน์แมนเขียนได้โดนใจ จนอยากจะซีรอกซ์ไปให้กระทรวงศึกษาธิการของประเทศไทยอ่าน เพราะผมคิดว่ามันคือคำตอบได้เลยว่าทำไมระบบการศึกษาของไทยจึงล้มเหลว และทำไมความเป็นวิทยาศาสตร์ของสังคมไทยจึงลดน้อยถอยลง ไม่ก้าวหน้าไปตามวิทยาการเอาเสียเลย เดี๋ยวว่างๆ มีเวลา จะเอามาโพสต์ไว้ก็แล้วกันครับ

หมายเลขบันทึก: 231530เขียนเมื่อ 24 ธันวาคม 2008 07:28 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 18:01 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท