บล็อกคุณดอกแก้ว เขียนถึงความรู้สึกที่ได้ไปเยี่ยมเยียนผู้เฒ่าผู้แก่ สมาชิกกองทุนสวัสดิการที่ป่วยไข้
นี่คือคุณประโยชน์ของกองทุนสวัสดิการ คือ ใช้เงินเป็นเครื่องมือในการรวมคน เมื่อมีการรวมคน มีการสร้างกติกาในการเยี่ยมเยียน ในที่สุดสิ่งเหล่านี้ถูกแปรเปลี่ยนเป็นการได้ใกล้ชิด เกิดความเอื้ออาทรต่อกันอย่างที่คุณดอกแก้วพูดถึง ความเอื้ออาทรที่เกิดจากสัมผัสที่ละเอียดอ่อนทางจิตใจระหว่างผู้คน ความเอื้ออาทรนี้ หากเกิดขึ้นได้ ก็น่าจะเป็นคุณค่าที่แท้ของการมีเงินกองทุนสวัสดิการ
รวมทุนได้ รวมคนได้ แต่ไม่เกิดความเอื้ออาทร หรือเกิดเฉพาะกับผู้เป็นกรรมการกองทุน ก็ยังไม่น่าจะไปถึงเป้าหมาย "พัฒนา(จิตใจ)คน"
ที่หนองสาหร่ายใช้เงื่อนไขทำความดีเป็นกติกาในการกู้ยืม นับเป็นกุศโลบายที่ชาญฉลาด หากจะบอกว่า.การออกแบบนี้คล้ายจะเชื่อว่า..พฤติกรรมคนจะถูกปรับเปลี่ยนตามแรงจูงใจ..(ไม่ว่าแรงจูงใจนั้นจะเป็นเงิน เป็นบุญที่คาดหวัง)..ก็ออกจะฟังดูกระด้าง แต่คงไม่ปฏิเสธว่าเป็นเช่นนั้น
เศรษฐศาสตร์เตือนให้แยกแยะระหว่างสิ่งที่เป็นจริงกับสิ่งที่ควรเป็น.. เพื่อไม่ให้การวิเคราะห์เกิดอคติ เมื่อวิเคราะห์สิ่งที่เป็นจริงได้แล้ว จึงจะเสนอสิ่งที่ควรเป็นในลักษณะที่เป็นนัยยะเชิงนโยบาย
ปัญหาคือ ผู้อ่านที่อ่านงานทางเศรษฐศาสตร์ที่เป็น positive economics (สิ่งที่เป็นหรือเกิดขึ้น) จะหงุดหงิด บางคนบอกว่าไร้จินตนาการ และหากนักวิชาการพยายามแยกส่วนวิเคราะห์เพียงเหตุปัจจัยตัวสามสี่ตัว(ที่คิดว่าสำคัญ) ก็จะถูกบอกว่า แยกส่วน ไร้จิตใจ หรือซื่อ(บื้อ)บริสุทธิ์
แต่ในงานพัฒนานั้นจะมองจากสิ่งที่ควรเป็น ต้องมีจินตนาการ และบ่อยครั้งจะใช้วาทกรรมเป็นเครื่องมือเพื่อช่วยสร้างจินตนาการ (ที่ต้องระวังคือ บางครั้งมอง "สิ่งที่ควรเป็น" บน "ความเชื่อ" ที่คาดเคลื่อนจากสิ่งที่เป็นจริง เช่น มองว่า ดอกเบี้ยแพงเพราะการขูดรีด ดังนั้นจึงไม่ควรมีนายทุนและสินเชื่อนอกระบบ)
นักวิชาการกับนักพัฒนาจึงสื่อสารกันคนละช่องทางเพราะจะไม่ค่อยเข้าใจ "วิธีทำงาน" ของแต่ละฝ่าย (ไม่ทราบว่าเพราะมี "อัตตา" ด้วยหรือไม่)
งานที่ทีมของเรากำลังจะทำ จะนำวิชาการมาใช้เพื่อสร้างเครื่องมือเพื่อการพัฒนา จึงจำเป็นต้องผสมผสานสิ่งที่เป็นกับสิ่งที่ควรเป็น ผสมผสานความรู้และข้อเท็จจริงหลายมิติเข้ากับจินตนาการ