เวลาสายของวันเสาร์ ท้ายเดือน พฤศจิกายน ซึ่งปรกติที่บ้านเราคงจะหนาวน่าดูแล้วกระมัง แต่ทว่ากลางเมืองกรุงที่ชื่อว่ากรุงเทพทวารวดี แห่งนี้ยังคงร้อนและอบอ้าวเสมอต้นเสมอปลาย ผมลุกจากที่นอนตั้งแต่เช้าดังเช่นทุกวันเพื่อที่จะประกอบกิจธุระตามประสาวันว่าง อันที่จริง รถตุ๊กๆ ต่างหากที่เป็นตัวปลุกเราให้ตื่นจากหลับใหล
เข้าใจว่าคนที่นี่เวลาทุกนาทีมีค่ามากมายมหาศาลเพราะการทำมาหากินในเมืองใหญ่นั้นจำเป็นต้องรีบเร่งและจะปล่อยให้เวลาเสียทิ้งไปโดยเปล่าการไม่ได้ เสียงรถตุ๊กๆ จึงระงมอยู่ด้านล่างหอพักของผมตั้งแต่เช้ามืดเพื่อที่จะเริ่มต้นการสู้ชีวิตในวันใหม่เป็นปกติเช่นเคย เพียงแต่เราเท่านั้นที่รู้สึกแปลกออกไปเพราะต่างถิ่น ต่างความเคยชินมา
เอาล่ะ!!! เมื่อไหนๆ เราก็ตื่นมาแล้วจึงคิดหาอะไรทำฆ่าเวลาจะดีกว่า การเพียงแค่นอนคุยโทรศัพท์หาเพื่อนคนนั้นบ้าง คนนี้บ้าง ความคิดผมบรรเจิดขึ้นมาทันที จึงได้ตัดสินใจจะเดินไปเรื่อยๆ กะว่าเจอที่ไหนเหมาะก็จะนั่งเขียนบันทึกนี้ไปพลางๆ ติต่างว่าได้พักผ่อนสมองไปด้วย
ผมเดินทอดน่องไปเรื่อย! ออกจากห้องพักแต่ความหิวก็มารบกวนซะงั้น... ความคิดตอนนี้จึงมุ่งไปที่ต้องหาข้าวกินเสียก่อน หากแต่ว่ากว่าจะเจอร้านก๊วยเตี๋ยวสักร้านก็เดินอยู่นานเหมือนกัน ผมจึงไปสั่งเอาก๊วยเตี๋ยวหมูชามหนึ่งพอได้ประทังท้อง (มันไม่อิ่มอ่ะดิ) เสร็จแล้วก็ลุกเดินไปข้างหน้าเรื่อยไป
ในเมื่องกรุงนี้หาที่สงบยากมากเลย แต่หากจะมองอีกแง่หนึ่งก็คงเห็นถึงคุณค่าไม่น้อยเหมือนกัน สถาปัตยกรรมเก่าแก่โบราณ ที่ตั้งเรียงรายอยู่สองฟากถนนที่รถยนต์วิ่งกันขวักไขว่อยู่นั้นแสดงให้เห็นถึงความสามารถของช่างสมัยโบราณได้เป็นอย่างดี ผมเดินจากถนนเทเวศร์ มองดูสิ่งก่อสร้างและความวุ่นวายตามฝั่งถนนไปเรื่อย มาสะดุดเอาอีกทีก็มีฝรั่งเดินมาชนจนผมเซผลักๆไป แล้วเขาก็หันมาเชิงจะพูดขอโทษหรืออะไรสักอย่างนี่แหล่ะ ผมก็ได้แต่ยิ้มให้แล้วเดินผ่านไป มองดูป้ายและลักษณะแล้วน่าจะใช่ แถวๆถนนข้าวสารเป็นแน่เทียว
ภายไต้การเดินทางที่เหมือนจะไร้จุดหมายของผมเอง ความคิดบางอย่างเริ่มสะกิดสะเกาขึ้นมาภายไต้ความร้อนแรงของแสงอาทิตย์เมื่อยามเที่ยงวัน เรื่องราวเก่าๆที่เราเคยผ่านมา จากที่เรามาจากบ้านคนเดียว ไร้เพื่อน ไร้คนรู้จัก จนกระทั่งเป็นที่รู้จักของคนมากมายในสารคาม มีเพื่อนๆล้อมหน้าล้อมหลังเต็มไปหมด จนบัดนี้เราก็ได้มาอยู่คนเดียว โดดเดี่ยวอย่างบอกไม่ถูกอยู่เช่นกัน ชีวิตมันช่างมีการพบ การพราก การจาก และการทำใจจริงๆ
แต่ก่อนก็ตำหนิสารคามเป็นนักหนาว่าวุ่นวายอย่างนั้นอย่างนี้ พอมาเจอที่นี่เข้าจึงได้หวนเห็นความสงบและเอกลักษณ์ของบ้านตัวเองบ้าง สมกับคำเขาว่านะว่า “ไม่เห็นโลกศพไม่หลั่งน้ำตา” แต่อันนี้ “เมื่อไม่เห็นบ้านเขาก็ไม่คิดถึงบ้านเรา” พูดไปก็น่าขำด้วยซ้ำ !! ยังกับว่าเมืองหลวงแห่งนี้ไม่ใช่บ้านเราอย่างนั้นแหล่ะ.......
เพียงชั่วครู่ของความคิดผมก็มาหยุดยืนอยู่ริมสนามหลวงแล้ว เบื้องหน้าคือ “พระเมรุ” ที่ใครต่อใครกำลังเบียดเสียดเพื่อที่จะเข้าไปถ่ายรูปอยู่ในขณะนี้ รถยนต์ทั้งเล็ก-ใหญ่ จอดกันเรียงรายเต็มทั่วทั้งบริเวณ ผมเดินอ่านป้ายทะเบียนที่มาจากหลากหลายสถานที่ ทั้ง ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดคันแล้วคันเล่า อีกฝั่ง ผู้คนหลายพันคนกำลังเคลื่อนเข้าไปภายในบริเวณโดยรอบนั้น บ้างยิ้ม บ้างหัวเราะ หลอกล้อกันสนุกสนาน เหมือนประหนึ่งว่านี่คือแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ดีๆนี่เอง หาคนที่จะสำรวม แล้วหวนรำลึกถึงการร่ำอาลัยเมื่อครั้งไม่กี่วันที่ผ่านมาไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว เหมือนกับทุกคนไม่ได้หวนสำนึกเลยว่า เมื่อวันที่ 15 พ.ย. ที่ผ่านมานั้นเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ณ ที่ตรงนี้ พระราชพิธีถวายเพลิงพระศพ ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีและเห็นเป็นที่ท่องเที่ยวที่สนุกสนานแบบนี้เลย น่าจะเอามาปลงสังเวชตัวเองเสียที แล้วรำลึกหน่อยเถอะว่า พระเจ้าอยู่หัวของเราต้องสลดพระหฤทัยเพียงไร? กับพระราชพิธีนี้
ประชาชนผู้ถือตัวเองว่า “รักพ่อหลวง” อย่างนั้นบ้างอย่างนี้บ้าง กลับดูเหมือนจะไม่ได้สลดใจกับการเสด็จจากไปขององค์เจ้าฟ้าของเราเลยแม้แต่น้อย ใยไม่ยอมคิดสำรวมกันบ้างหนอเหล่าพสกนิกร ว่าหากนี่เป็นการสูญเสียมิใช่เรื่องน่ายินดีและโสมนัสกับสิ่งปลูกสร้างที่เป็นสังเวชนียสถานอันนี้เลย
เอาล่ะ!!! ผมเดินดูพระเมรุและผู้คนอยู่ครู่ใหญ่ คงไม่ต้องบอกว่าสวยเพียงไร เพราะความวิจิตรของช่างฝีมือไทยนั้นไม่ได้เป็นสองรองผู้ใดในโลก ยิ่งแล้วเป็นการสร้างถวายเจ้าฟ้าอันเป็นที่รักยิ่งของปวงชนแล้วไซร้ ความวิจิตรอลังการย่อมล้นฟ้าล้นแผ่นดินอยู่แล้ว จากนั้นผมจึงเบนหน้ากลับคืนมาที่เดิมอีกที คงเป็นที่อื่นไม่ได้กระมังนอกเสียจาก ห้องน้อยๆ อันดูจะออกไปทางอบอ้าวเสียมากกว่าอบอุ่นนี้
พอย่างเยื้องเข้าห้อง แขกของห้องนั่งรออยู่ในห้องก่อนหน้าแล้ว อันที่จริงเขาไม่ได้รอเราหรอก ( ทั้งๆที่เราก็รู้จักกันนะ แต่ทว่าจำต้องไม่รู้จักกันเสียนั่นเพราะเหตุผลบางประการ) แต่คงจะรอเพื่อนอีกคนที่อยู่ห้องเดียวกันกับเราที่กำลังอาบน้ำ พร้อมจะพากันไปที่ไหนสักแห่ง ผมจึงเดินเลี่ยงไปยังที่พำนักของตัวเองก่อนที่จะทรุดตัวลงนอนกับที่อย่างเหน็ดเหนื่อย พลางความรู้สึกก็วิ่งแล่นมาถามผมทันทีเลยว่า นี่เรามาอยู่คนเดียวหรือนี่ ? แล้วก็พล่อยหลับไปก่อนจะค่ำด้วยซ้ำ
อย่างไรเราก็คุ้มล่ะน่า!!!!!!! สำหรับชีวิตในเมืองหลวงแห่งนี้ เดี๋ยววันหลังถ้ามีเวลาจะไดเขียนมาลงเพิ่มเติมอีกที อันที่จริงเขียนไว้ทุกวันนั่นแหล่ะ ... แต่ว่าไม่ได้พิมพ์สักที่...ก็งานมันยุ่งอยู่พอสมควร
ณ ห้องพักที่ 32/2
เทเวศน์คอนโด
22 พ.ย. 51
คิดถึงจัง เมื่อไหร่จะมาที่สารคามจ๊ะ อิอิ มีคนบ่นคิดถึงหลายคนจ๊ะ
เป็นบันทึกที่มีสาระและได้อารมณ์มาก ...
วันสรุปงาน น่าจะพิมพ์ออกมาแจกจ่ายเพื่อนร่วมวิชาเอกให้ได้อ่านด้วยนะ