Knowledge Audits
เป็นเครื่องมือตัวที่ 2 ที่อยู่ในกลุ่ม Strategy Development ของเอกสารเล่มนี้ ซึ่งแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังเครื่องมือตัวนี้ อ่านแล้วผมตีความเอาเองว่าเป็นเรื่อง "ความคิดเชิงระบบ" เป็น concept หลักของการออกแบบตัวนี้ เพราะเขาอาจจะต้องการเห็นวิธีการได้มาซึ่งกลยุทธ์ในเชิงระบบ อันนี้เข้าใจว่าฝรั่งจะมีอารมณ์นี้คล้ายๆกัน
กลยุทธ์ที่พูดถึงนี้ ย้ำอีกทีนะครับว่าเป็นกลยุทธ์ ที่มุ่งพัฒนา knowledge & learning ภายในองค์กร อันเป็นหนทางที่จะไปสู่ Humanitarian Organisation เครื่องมือนี้มีกระบวนการที่สำคัญที่กล่าวไว้ในเอกสารแบ่งเป็น 4 stages
Stage 1st กระบวนการค้นหา "ความรู้ที่จำเป็น" และ "เงื่อนไขบริบทแวดล้อม" ที่เป็นปัจจัยประกอบ
ขั้นตอนนี้ เขาออกแบบให้มีการค้นหาผ่านกระบวนการ workshop หรือทำ focus group มีการสัมภาษณ์ การพูดคุยกับคนในแต่ละฝ่าย ซึ่งจะมีแนวทางใหญ่ๆ ที่พูดคุยในเรื่องเหล่านี้
1. ความรู้ที่จำเป็น - ค้นหาว่ามีพันธกิจสำคัญหลักๆอะไรบ้างในแต่ละงานภายในองค์กร ความรู้ที่ใช้ในการทำงานนั้น ได้มาอย่างไร สร้างขึ้นเองแค่ไหน มีการประยุกต์ใช้อย่างไรบ้าง มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ไหม มีการจัดเก็บหรือไม่อย่างไร และเห็นแนวทางในการพัฒนาหรือได้มาซึ่งความรู้ใหม่ๆ และทำให้เกิดการไหลเวียนในองค์กร ได้หรือไม่อย่างไร
2. บรรยากาศมิตรภาพ และกระบวนการ - เกิดแผนจัดการระบบและกระบวนการที่เอื้อต่อการจัดการความรู้ หรือเรียนรู้แค่ไหนอย่างไร จุดเริ่มต้นของการผลักดันให้เกิดการสนับสนุนสิ่งเหล่านี้ให้ลื่นไหลได้นั้นมาจากไหน อย่างไร ลักษณะความสัมพันธ์ที่เด่นชัดเกิดขึ้นได้อย่างไร เป็นแบบทางการ หรือ ไม่เป็นทางการ และมีผลต่อการเรียนรู้ของคนแค่ไหนอย่างไร
3. บริบทจำเพาะในองค์กร - ระบบ HR, IT, Information managemrnt และอื่นๆ ผสมผสานและเอื้อต่อการเรียนรู้ของคนในองค์กรอย่างไร ดีแค่ไหน และการเรียนรู้เหล่านั้น สัมพันธ์กับ "วิสัยทัศน์" ขององค์กรอย่างไรบ้าง โครงสร้างการบริหาร ภาวะการนำ และการบริหารองค์กร เอื้อต่อกลยุทธ์การจัดการความรู้หรือไม่ อย่างไร การลงทุน และกำไรที่มาจากการจัดการความรู้ และการเรียนรู้ของคนนั้น มากน้อยแค่ไหน
4. ปัจจัยภายนอกที่มีผล - (ในเอกสารกล่าวถึงเฉพาะการส่งผ่านความรู้ไปยังองค์กรสมาชิกระหว่างประเทศ)
Stage 2nd เป็นช่วงที่ต้องเสนอแนะ knowledge & learning ควรจะผสานเข้าไปในงานที่ทำอยู่ในรูปแบบไหนจึงจะเกิดผลดีทั้งในแง่ประสิทธิภาพและประสิทธิผลดียิ่งขึ้นได้อีก และแนวทางในการประยุกต์ใช้ต่อภายในองค์กร
Stage 3rd ระยะนี้เป็นช่วงที่เน้นให้ความสำคัญกับ ตกผลึกกลยุทธ์ และขายแนวคิดต่อผู้ปฏิบัติที่จะต้องรับช่วงต่อ
Stage 4th เข้าสู่การนำกลยุทธ์สู่การปฏิบัติจริง ผ่านทีม หรือ คณะทำงานในแต่ละฝ่าย ตีคู่ขนานไปกับการติดตามอย่างไม่คลาดสายตา และปรับกระบวน ขยายผลดีไปยังส่วนอื่นขององค์กรที่ยังเหลืออยู่
อ่านแล้วรู้สึกว่าเป็นระบบดี แต่เสียงในหัวผม มันบอกว่า อย่าเอามาใช้แข็งๆ ตามตำราบอกนะ ต้องทำไป แต่งไป คิดไป ออกแบบไปอีกเยอะเลย...
เข้ามาทักทายคนบ้านเดียวกัน
สลามฯ ครับ คุณ y why.i.u
มาได้ถูกจังหวะเวลาดีจังเลย :) เหมือนจะช่วยตอบโจทย์ที่ได้พูดคุยกับคุณหมอฉายศรีฯไว้เมื่อวานนี้เลย
บ่ายวันนี้ นัดคุยกับคุณหมอฉายศรีฯ อีกครั้งเรื่องการสร้างกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในสำนักฯ Stage 1st และ Stage 2nd เป็นแนวทางที่น่าจะนำมาปรับใช้ได้เหมาะสมกับจังหวะและเวลาช่วงนี้ของสำนักฯ มากๆ...ขอบคุณหลายๆ ค่ะ
ดีใจที่มีคนบอกว่า "กำลังมองหา..จะเอาไปใช้พอดี
ใช้แล้ว เล่าให้ฟังด้วยนะครับ ว่าเกิดอะไรดีๆ modify อะไรบ้าง เพราะอะไร อย่างไร จะขอเป็นนักเรียนด้วยครับ ขอบคุณครับ
สลามค่ะ แวะมาเยี่ยม
วาอาลัยกุมสลาม สะตอดอง