หมอบ้านนอกไปนอก(77): แดนกังหันลม


เนเธอร์แลนด์ เป็นประเทศเล็กๆที่เจอกับภัยธรรมชาติและข้อจำกัด แต่ก็พยายามหาจุดแข็งของภูมิประเทศและสร้างความแข็งแกร่งให้เกิดขึ้นจนเป็นประเทศพัฒนาชั้นนำได้ โดยใช้พลังปัญญาปรับสภาพข้อจำกัดทางธรรมชาตินั้นให้เกิดมูลค่าเพิ่มได้

เริ่มต้นสัปดาห์ที่ 41 ในวันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน 2551 รีบตื่นเช้าขึ้นรถรางไปสถานีรถไฟเพื่อไปอัมสเตอร์ดัมส์ แต่ปรากฎว่ารถไฟมีเที่ยวแรกเกือบ 8 โมงจึงต้องนั่งรอเกือบชั่วโมง จริงๆแล้วผมเช็คจากอินเตอร์เน็ตแล้ว แต่ไม่เชื่อ ไปดูจากตารางรถไฟในหนังสือเก่าทำให้ผิดพลาดไป สองชั่วโมงก็ถึงอัมสเตอร์ดัมแล้วต่อรถไฟเพื่อไปเที่ยวชมหมู่บ้านซานเซอะ สคานส์ (Zaanse Zchans) ของเมืองซานดัม (Zaandam) กะว่าจะนั่งไปลงที่สถานีโกค ซานไดค์ (Koog-Zaandijk) พอถึงซานดัมได้ทราบจากผู้โดยสารคนหนึ่งว่าต้องลงที่ซานดัมแล้วต่อรถบัสไป ไม่สามารถไปโดยรถไฟได้ โชคดีที่เอะใจสอบถามก่อน ไม่งั้นก็จะนั่งรถไฟเลยไปอีกเมืองหนึ่ง ต้องเสียเวลาย้อนกลับมาอีก

เราเดินตามนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ไปขึ้นรถบัสโดยสารของการรถไฟเขาเพราะรถไฟเขาเลิกวิ่งไปแล้ว รถบัสก็พาเราไปจอดที่ใกล้ๆสถานีรถไฟโกค ซานไดค์ มีนักท่องเที่ยวหลากเชื้อชาติเต็มคันรถ ลงรถแล้วก็เดินไปในบรรยากาศที่ไม่ร้อน ครึ้มฟ้าครึ้มฝน จนถึงแม่น้ำซาน (The Zaan) ปรากฎว่าสะพานข้ามน้ำปิดซ่อมแซม ต้องเดินเลยไปที่สถานีเรือรับส่งข้ามแม่น้ำซึ่งบริการฟรี แม่น้ำกว้างไหลโค้งเป็นคุ้งน้ำหมู่บ้านซานเซอะ สคานส์อยู่ฝั่งตรงข้าม มองเห็นบ้านกังหันลมอยู่ตามแนวฝั่งน้ำ ขึ้นฝั่งแล้วเดินต่ออีกเล็กน้อยก็เข้าสู่เขตหมู่บ้าน

ซานเซอะ สคานส์ เป็นหมู่บ้านที่รวมความเป็นฮอลแลนด์ไว้ที่เดียวกัน โดยนำเอาบ้านไม้ที่เคยใช้อยู่จริงมามาอยู่ร่วมกันที่ริมฝั่งน้ำเพื่อสร้างเป็นศูนย์วัฒนธรรมให้นักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมได้ เราเดินชมหมู่บ้านภายใต้บรรยากาศฟ้าครึ้ม ฝนปรอยเบาๆบางครั้ง จึงไม่ร้อนมากนัก บ้านเป็นบ้านไม้หลังเล็กๆสีเขียว เป็นบ้านที่มีคนอาศัยอยู่จริงๆ ผู้คนที่อาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำซานเรียกว่า Zaankenters ได้ประกอบอาชีพค้าขายและทำการประมงจนมีฐานะร่ำรวยแล้วสร้างกังหันลมขึ้นในปี ค.ศ. 1600 ตอนแรกเอาไว้ใช้วิดน้ำเพื่อให้พื้นดินแห้ง แต่ต่อมาใช้ในงานอุตสาหกรรมต่างๆ เช่นโม่แป้งข้าวบาร์เล่ย์และข้าว ทำสี ทำกระดาษ แปรรูปไม้ น้ำมันพืช มัสตาร์ด เชือก ยาสูบและอื่นๆโดยอาศัยกังหันลมกว่าพันตัว จนราว ค.ศ. 1850 กังหันลมถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักรไอน้ำ ปัจจุบันเหลือแค่ 13 ตัวเป็นอนุสรณ์

ลมเป็นพลังงานที่ควบคุมได้ยาก นอกจากแรงลมแล้ว กังหันลมต้องอาศัยผู้ควบคุมกังหัน (miller) ที่มีหน้าที่หันใบพัดและส่วนบนทั้งอันของกังหันเพื่อรับลมทั้งหมดมีน้ำหนักราว 15 ตัน ควบคุมความเร็วของใบพัดโดยใช้ผ้าใบแบบเรือใบและแผ่นไม้ ผู้ควบคุมหยุดการหมุนของใบพัดโดยใช้เบรคซึ่งเป็นแผ่นไม้ติดอยู่ที่ส่วนบนสุดของกังหันลม ลมยิ่งแรงเท่าใด ผู้ควบคุมก็สามารถทำให้เครื่องจักรทำงานได้มากตัวเท่านั้น

เราแวะเข้าไปชมบ้านหลายหลังที่ทำเป็นพิพิธภัณฑ์เล็กๆ เช่น พิพิธภัณฑ์นาฬิกา (Museum of the Dutch clock) ที่สะสมมากว่า 7 ศตวรรษ ที่แสดงถึงความสามารถของคนดัทช์ในการประดิษฐ์คิดค้นเทคโนโลยีของนาฬิกา มีนาฬิกาเก่า สวยๆอยู่หลายเรือน ปี ค.ศ. 1656 นักวิทยาศาสตร์ชาวดัทช์ชื่อคริสเตียน ฮุยเก็น ได้คิดการกำหนดฐานของการควบคุมเวลาได้แม่นยำมากขึ้นในการค้นคว้านาฬิกาเพนดูลัม นาฬิกากลายเป็นสิ่งที่แสดงสัญลักษณ์ การพัฒนาด้านเทคนิคอยู่ในมือของนักวิทยาศาสตร์และช่างทำนาฬิกาแต่รูปลักษณ์ของนาฬิกาถูกกำหนดโดยนักการค้าผู้ร่ำรวยและสุภาพบุรุษชาวนา ระยะเวลาของนาฬิกาและการแปรผันทางภูมิภาคถูกจำแนกโดยโครงสร้าง การใช้วัสดุ การออกแบบรูปลักษณ์และการตกแต่ง นาฬิกาAmsterdam planisphere cloxcle ที่ประดิษฐ์ขึ้นราว ค.ศ. 1755 ไม่ได้บอกแค่เวลา วัน วันที่ แต่บอกเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นและตก ตำแหน่งของดวงอาทิตย์ใน Zodiac circle และเวลาโลกด้วย

เข้าร้านขายของชำดั้งเดิม (Albert Heijin’s first Glocery shop) ที่เปิดมา 100 กว่าปีแล้ว เป็นร้านเล็กๆแค่ 12 ตารางเมตร เปิดขายตั้งแต่ปี ค.ศ.1887 เป็นร้านขายของชำให้ชาวนาท้องถิ่นเพราะเมื่อก่อนเดินทางไปอัมสเตอร์ดัมใช้เวลา 3 ชั่วโมง ปัจจุบันถนนดีขึ้นไม่ถึง 10 นาที เปิดขาย 7 วันต่อสัปดาห์ ตั้งแต่ 6.00-22.00 น. หลังจากนั้นก็เดินไปตามถนนเล็กๆริมน้ำไปดูโรงงานทำสีย้อมผ้า (Verfmolen de Kat anno) สร้างขึ้นปี ค.ศ. 1782 ที่ใช้กังหันลมในการหมุนโม่หิน กังหันสี ทำหน้าที่ผลิตวัสดุที่ให้สีจากไม้เมืองร้อนที่นำมาเข้ามาปริมาณมากตั้งแต่ปี ค.ศ. 1600 เพื่อใช้ย้อมผ้า ไม้ถูกผ่าเป็นชิ้นเล็กๆโดยใช้ลิ่มตอกลงไปในเนื้อไม้ จากนั้นนำมาบดโดยโม่หินขนาดใหญ่ที่หมุนโดยกังหันลม โม่หินหนักถึง 5000-7000 กิโลกรัม เมื่อไม้แหลกเป็นผงแล้วต้องนำไปใช้ตระแกรงร่อนอีกขั้นหนึ่ง ราวปี ค.ศ. 1700 โรงงานแห่งนี้ยังได้เริ่มผลิตสีจากดิน ผงชอล์คและวัสดุสำหรับขัดมัน

จากบ้านกังหันลมผลิตสี เราเดินบนถนนเล็กๆที่สองข้างเป็นคูน้ำใส เข้าไปในกลางหมู่บ้านที่โอบล้อมด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจี ฝนรอยหยุดๆตกๆ แดดไม่ร้อน ลมพัดต้องผิวหน้าเย็นสดชื่น เดินเข้าไปในร้านขายของที่ระลึก เด็กๆขอซื้อไอศครีมทานกัน แล้วเดินเข้าไปชมร้านทำรองเท้าไม้ ถ่ายรูปกับรองเท้าไม้ขนาดยักษ์หน้าร้าน แล้วเข้าไปชมวิวัฒนาการการทำรองเท้าไม้และของที่ระลึก ฝนตกมากขึ้น อยู่ในร้านรองเท้าจนฝนหยุด แดดออก เดินออกมาตามถนนเล็กๆแบบเดิม เดินมาจนใกล้ทางออกมีร่มไม้เล็กๆแต่บังแดดได้ เรานั่งที่ม้านั่งแล้วนำเอาข้าวกับน่องไก่ทอดออกมาทานกันอย่างอร่อย ทำให้ผมนึกถึงบรรยากาศกลางทุ่งนาสมัยเด็กๆที่ไปช่วยตากับยายฟาดข้าว แล้วก็กินข้าวกลางวันใต้ร่มไม้ กลางสายลมเย็นแล้วก็งีบหลับเอาแรงที่ใต้ต้นไม้นั้น

หลังอาหารกลางวันฝีมือคุณแม่ของลูกๆที่ห่อไปด้วย เราเดินชมสวนเล็กๆ น่ารัก บ้านหลังน้อยๆ น่าอบอุ่น เดินกันต่อจนถึงปากทางเข้าหมู่บ้าน เดินไปที่ท่าเรือ ขณะที่เรือกำลังมาเทียบท่า แดดหายไปอย่างรวดเร็วและฝนก็ตกลงมาอีก ลมพัดค่อนข้างแรง ผมถือร่มกับน้องขลุ่ยที่ใช้ถุงพลาสติกคลุมหัวกันฝนด้วย ส่วนแคน ขิมมีเสื้อกันฝนที่ซุกตัวกันได้สองคน ส่วนเอ้ใช้ร่มอีกคันหนึ่งซึ่งสภาพไม่ดีนักเพราะโดนลมแรง เราอยู่ท่ามกลางฝนบนเรือ นักท่องเที่ยวคนอื่นๆก็เปียกกันหลายคนเพราะไม่ได้เตรียมที่กันฝนมา เรือพาเราข้ามฝั่งถึงท่าเรือ พอเดินไปตามถนนได้สักพักฝนก็หยุด เราเดินกลับไปขึ้นรสบัสที่จุดเดิม จนถึงสถานีรถไฟซานดัม ต่อรถไฟกลับเข้าอัมสเตอร์ดัม

ถึงสถานีรถไฟกลางอัมสเตอร์ดัม เราเดินข้ามถนนไปที่ท่าเรือ เด็กๆเริ่มอ่อนล้าและง่วงเพราะรีบตื่นแต่เช้า อากาศร้อน แดดออก จึงพาไปนั่งเรือท่องเที่ยว ที่นำชมไปตามคลองต่างๆรอบๆเมือง ชมทิวทัศน์เมืองหลวงของฮอลแลนด์ อาคารหลังเก่าๆที่ดูคลาสสิก เด็กๆตื่นเต้นได้สักพักก็หลับกัน ล่องเรือได้ 1 ชั่วโมง ก็กลับมาที่ท่าเรือ เราพากันเดินขึ้นจากท่าเรือเข้าไปชมในตัวเมือง ผ่านถนนคนเดินที่มีร้านค้าขายของที่ระลึกเรียงรายไปตามถนน ผู้คนเดินไปมาพลุกพล่าน เดินชมได้สักพักก็เริ่มเมื่อย จึงเดินกลับสถานีรถไฟแล้วขึ้นรถไฟต่อไปเที่ยวเมืองอูเทรค

ถึงเมืองอูเทรคเกือบ 6 โมงเย็น ลงจากรถไฟไม่มีแผนที่เดินเที่ยว จึงต้องพยายามเดาเส้นทางกัน เดินเข้าไปชมในเมือง แล้วชมอาคารบ้านเมืองไปตามถนนริมแม่น้ำ เดินไปได้สักพักก็เริ่มเหนื่อยล้า เพราะเดินเที่ยวมาทั้งวัน เด็กๆเริ่มออกอาการงอแง ไม่อยากเดิน จึงกลับมาขึ้นรถไฟไปลงที่เมืองรอตเตอร์ดัมส์เพื่อต่อรถไฟกลับแอนท์เวิป ขึ้นรถไฟได้ก็นั่งหลับกันทั้งพ่อแม่ลูก กลับถึงบ้านพัก 4 ทุ่มกว่าๆ เด็กๆเหนื่อยกันมาก รีบอาบน้ำเข้านอน ส่วนผมเข้าเน็ตรีบอ่านอีเมล์ ด้วยความรีบเร่งนี่เองที่ทำให้เกิดเรื่องใหญ่ในวันรุ่งขึ้น

เนเธอร์แลนด์ (ดัตช์: Nederland ; อังกฤษ: the Netherlands) หรือที่เรียกกันว่า ฮอลแลนด์ (Holland) มีชื่อทางการคือ ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ (Kingdom of the Netherlands) คำว่า “Neder” แปลว่า ต่ำเนื่องจากภูมิประเทศส่วนใหญ่ของเนเธอร์แลนด์เป็นที่ราบลุ่ม พื้นที่หนึ่งในสี่ของประเทศต่ำกว่าระดับน้ำทะเล จึงได้ปรับพื้นที่โดยการสูบน้ำออกจากทะเลสาบและทางน้ำต่าง เพื่อให้ใช้ประโยชน์ได้ ทำให้มี เขื่อน ทางระบายน้ำ และสถานีสูบน้ำจำนวนมาก เพื่อป้องกันไม่ให้พื้นที่ของประเทศประสบอุทกภัย จึงมีสิ่งก่อสร้างด้านวิศวกรรมการจัดการน้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

เนเธอร์แลนด์ เป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมันตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 1 มีความสุขสงบมานานกว่า 250 ปี ต่อมาจัรกวรรดิโรมันเสื่อมลงก็ถูกชนเผ่าเยอรมันนิกและเคลดิกครอบครองในช่วงปี .. 1906 – 2025 เนเธอร์แลนด์อยู่ภายใต้การปกครองของดยุคแห่งเบอร์กันดี และในศตวรรษที่ 16 เนเธอร์แลนด์ถูกปกครองโดยสเปน ต่อมาเจ้าชายวิลเลียมแห่งออเรนจ์และขุนนางจำนวนหนึ่ง ได้ก่อการปฏิวัติต่อสมเด็จพระราชาธิบดีฟิลิปที่ 2 แห่งสเปน เพื่อเรียกร้องให้ประชาชนเนเธอร์แลนด์ สามารถนับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรแตสแตนท์ได้ จนกระทั่งปี .. 2191 (.. 1648) จึงได้มีการลงนามในสนธิสัญญามุนสเตอร์ เพื่อสงบศึกระหว่างเนเธอร์แลนด์และสเปน ซึ่งดำเนินมาถึง 80 ปี และถือเป็นการประกาศเอกราชของเนเธอร์แลนด์ด้วย

หลังจากได้ประกาศเอกราชจากจักรวรรดิสเปน คนดัตช์ได้ร่วมกันฟื้นฟูประเทศเข้ามาสู่ยุคทอง เช่นเดียวกับ สเปน โปรตุเกส และสหราชอาณาจักร ที่เป็นมหาอำนาจทางทะเลในการทำการค้าในดินแดนต่างๆ ของโลก เนเธอร์แลนด์เป็นมหาอำนาจทางทะเลและเศรษฐกิจชั้นนำของยุโรปในเวลานั้น และอัมสเตอร์ดัมได้กลายมาเป็นศูนย์กลางการเงินของยุโรป จนนักเศรษฐศาสตร์หลายคนถือให้เนเธอแลนด์เป็นประเทศระบอบทุนนิยมประเทศแรกของโลก

ปี .. 2338 (.. 1795) กองทัพปฏิวัติฝรั่งเศสของพระเจ้านโปเลียนที่ 1 ได้เข้ายึดครองเนเธอร์แลนด์ และในปี .. 2353 (.. 1810) เนเธอร์แลนด์ได้ถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิฝรั่งเศส ต่อมาได้รับเอกราชคืนมาอีกครั้งในปี .. 2357 (.. 1814) โดยมีเบลเยียมเป็นส่วนหนึ่งด้วยประเทศทั้งสองได้แยกออกจากกันอย่างเป็นทางการเมื่อปี .. 2382 (.. 1839)เนเธอร์แลนด์วางตัวเป็นกลางในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ระหว่างปี .. 2457 – 2461 และช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ก็ถูกกองทัพเยอรมนีรุกรานและยึดครองเนเธอร์แลนด์ ในช่วงระหว่างปี .. 2483 – 2488 ปัจจุบันเนเธอร์แลนด์เป็นสมาชิกที่มีบทบาทแข็งขันในสหภาพยุโรป และองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือหรือนาโต

เนเธอร์แลนด์เป็นประเทศเจ้าอาณานิคมจนกระทั่งภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยอินโดนีเซียได้ประกาศเอกราชจากการเป็นอาณานิคมของเนเธอร์แลนด์เมื่อปี .. 2492 (.. 1949) และซูรินาเมประกาศเอกราชเมื่อปี .. 2497 (.. 1954) ส่วนเนเธอร์แลนด์อัลไทลิส และอารูบายังคงเป็นส่วนหนึ่งของเนเธอร์แลนด์ โดยมีอธิปไตยในการบริหารกิจการภายในประเทศ ส่วนด้านการทหารและการต่างประเทศยังอยู่ภายใต้ความควบคุมดูแลโดยรัฐบาลเนเธอร์แลนด์

ชาวดัตช์ เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการค้ามานาน ทั้งกับประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง และประเทศในภูมิภาคอื่นของโลก ประเทศเนเธอร์แลนด์ มีแม่น้ำสำคัญหลายสายไหลผ่านมาจากหลายประเทศในยุโรป ไปออกทะเลที่ประเทศของตน ทำให้หลายเมืองเป็นท่าเรือ ที่สำคัญมากคือ ท่าเรือรอตเตอร์ดัม (Rotterdam) ซึ่งเป็นท่าเรือที่ใหญ่และมีความสำคัญทางด้านการค้าระหว่างประเทศมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกจึงเปิดโอกาสให้ชาวเนเธอร์แลนด์ทำการค้าได้สะดวก เนเธอร์แลนด์ มีทรัพยากรธรรมชาติไม่มาก ชาวดัตช์ต้องอาศัยการเกษตรกรรม การประมง เลี้ยงสัตว์ ไม่มีแร่ธาตุสำคัญ จึงต้องอาศัยการค้าเป็นหลัก เพื่อความอยู่รอด จนได้รับการขนานนามว่าเป็นชาตินักการค้า (Trading nation) 

พิเชฐ  บัญญัติ (Phichet Banyati)

Verbond straat 52, 2000 Antwerp, Belgium

19 มิถุนายน 2551, 22.35 น. (แก้ไขเพิ่มเติม 13 พฤศจิกายน 2551 โรงแรมริชมอนด์ กรุงเทพฯ)

หมายเลขบันทึก: 223137เขียนเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2008 14:47 น. ()แก้ไขเมื่อ 5 มิถุนายน 2012 04:19 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

สวัสดีคะ คุรหมอไม่โชว์ภาพจะได้เห็นจริง

ชื่ชมคะการบันทึกได้เนื้อหา

ขอบคุณคะ

สวัสดีครับ คุณหมอ

  • อ่านแล้วทำให้คิดถึงอัมสเตอร์ดัม และเมืองอื่นๆในฮอลแลนด์ครับ
  • ภาษาฝรั่งเศสเรียกประเทศนี้ว่า Pays-Bas (เปอีย์-บา) แปลว่า แผ่นดินต่ำหน่ะครับ ก็เค้าอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลหน่ะสิครับ มีชื่อเสียงด้านการทำเขื่อนที่หนึ่งของโลกด้วย
  • ผมเองเพิ่งไปมาเมื่อใบไม้ผลิที่แล้ว สวยครับ ได้นั่งเรือด้วย
  • มีโอกาสก็มาเที่ยวแถวๆ โพรวองซ์ (ตอนใต้ของฝรั่งเศส) นะครับ
  • ที่นี่มีที่เที่ยวสวยๆ มากมายเลย
  • เอาว่าตอนนี้..ตามมาเที่ยวกับผมที่ G2K ก่อนก็ได้ครับ

เรียนคุณประกาย หน้าตาเฉย

ขอบคุณสำหรับคำชมที่เป็นกำลังใจครับ ผมยังนำภาพลงไม่เป็นและยังไม่มีเวลาฝึกหัด แต่ถ้าทำเป็นแล้วจะทะยอยนำลงให้ชมกันครับ

สวัสดีครับคุณ Pompier

ก่อนกลับเมืองไทยผมไปแถวตอนใต้ของฝรั่งเศส แต่มีเวลาน้อยมาก ทำให้ไม่ได้ชื่นชมความงามอย่างเต็มที่ เอาไว้โอกาสหน้าจะหาดอกาสไปเที่ยวใหม่ครับ

ขอบคุณครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท