ผลกรรมของการโกหกเป็นอย่างไรบ้าง บาปแค่ไหน ช่วยบอกทีคะ
ผลที่ผมอ่านแล้วตกใจอย่างมาก และไม่คิดจะโกหกอีกเลยคือพุทธวจนะที่ว่า....."ผู้กล่าวคำเท็จอยู่ จะไม่ทำความผิดอื่น เป็นไม่มี"เห็นแล้วหนาวเลยครับ คิดย้อนกลับมามองตนเองแล้ว เห็นว่า ถ้าขืนยังไม่ละการโกหก คงหมดหวังที่จะละความชั่วอื่นๆที่มีในตนได้ครับ เลยรีบตั้งใจจะไม่โกหกอีกเลยนับแต่นั้นมาครับ
ผลที่เกิดขึ้นเป็นการภายนอก เห็นง่ายคือคนเขาจะไม่เชื่อถือพูดอะไรไปแม้จริง ก็มีกระแสบางอย่างทำให้เขารู้สึกมัวๆ ขัดๆเพราะคนโกหกประจำจะดูกะล่อนๆ สัมผัสรู้สึกได้ผลที่เกิดขึ้นเป็นการภายใน เห็นยาก แต่รู้ได้ถ้าเลิกเข้าข้างตัวเองคือใจจะปรุงแต่ง ฟุ้งไปในอุปาทานนานาชนิดอยู่ตลอดหลอกคนอื่นบ่อยๆ ในที่สุดก็หลอกกระทั่งตัวเองยิ่งหม่นมืดยิ่งมองไม่เห็นว่าหลอกนึกว่าดี นึกว่าไม่เป็นไรแต่ถ้ากลับใจเมื่อไหร่แล้วมองย้อนไปจะขนลุกครับ
ทำสิ่งใด ได้สิ่งนั้นครับ บาปหรือไม่ลองคิดดู ถ้าโกหกเพื่อหวังผลประโยชน์แก่ตนเอง แล้วผู้ที่ถูกโกหกนั้นเป็นทุกข์ สิ่งที่กระทำนั้นก็จะย้อนกลับมาหาตัวผู้กระทำไม่วันใดก็วันหนึ่ง คงไม่มีใครอยากให้ตัวเองถูกโกหกแล้วต้องเสียผลประโยชน์หรือเป็นทุกข์นะครับ เพราะฉะนั้น เป็นกรรมที่ไม่สมควรทำอย่างยิ่ง
เคยฟังนิทานเรื่องหนึ่งครับ เรื่องมีอยู่ว่านายก.ไปพบสาวแสนสวยผู้หนึ่งในงานเลี้ยง ด้วยความต้องตาเพราะท่าทางที่น่ารักของเธอ จึงเดินเข้าไปทำความรู้จักหวังตีสนิดด้วย"ขอโทษครับ ขอผมนั่งคุยด้วยสักครู่ได้ไหมครับ""อุย เราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่าคะ" สาวเจ้าตอบด้วยความตกใจบวกเอียงอายนิดๆ"เปล่าหรอกครับ แค่ผมพบคุณครั้งแรกผมรู้สึกเหมือนมีแม่เหล็กทางจิตที่ดูดผมให้เข้ามาทำความรู้จักกับคุณ"สาวเจ้าไม่ตอบกลับหลบหน้าไปด้วยความเอียงอาย"ดืมวายเย็นๆสักแก้วไหม่ครับ ?""ไม่ละคะ ผิดศีลข้อ ๕ ดิฉันไม่ดื่มน้ำเมาทุกชนิด""ไม่เช่นนั้น ผมของอนุญาติตักข้าวขาหมูปากซุงให้คุณทานสักจานได้ไหมครับ ?""อย่าเลยคะ ดิฉันเป็นมังสวิรัต ไม่ทานเนื้อสัตว์ เพราะดิฉันคิดว่าการทานเนื้อสัตว์เป็นการส่งเสริมให้มีการทำร้ายชีวิตสัตว์ ดิฉันสงสานมัน ผิดศีลข้อที่ ๑ คะ"เธอช่างดีอะไรเช่นนี้ ผู้หญิงเช่นนี้ละที่เขาปรารถนาจะได้มาเป็นคู่ชีวิต"ถ้าคุณไม่รังเกลียด เสาร์นี้ผมอยากจะขอชวนคุณไปเที่ยวหัวหิน ผมมีบ้านพักตากอากาศอยู่ที่นั้น ""ไม่ดีดอกคะ หญิงชายไปในที่ลับตาคนสองต่อสอง มันไม่งาม หากไม่มีสติที่ดีพอสถานการณ์มันง่ายที่จะทำให้เราต้องผิดศีลข้อ ๓""ผมไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น" ก.รีบปฏิเสษพร้อมกับเพิ่มความนิยมในสาวแปลกหน้าที่พึ่งรู้จัก"คุณจะรับผมเป็นเพื่อนสักคนได้ไหมครับ" ก.พูดพรางหยิบดอกกุหลาบสีชมพูในแจกันเล็กๆบนโต๊ะอาหารยื่นให้สาวนิรนามเบื่องหน้า"ไม่ดีดอกคะ กุหลาบดอกนี้เป็นของเจ้าของงาน ไม่ใช่ของคุณ ถ้าดิฉันรับมาก็เหมือนร่วมทำผิดกับคุณคือลักทรัพย์ มันผิดศีลข้อที่๒นะคะ"ใช่เลย ! โดนใจฉันเลย บทกลอนที่เขียนไว้ในอดีตกลับมาปรากฏชัดในห้วงสำนึกอีกครั้งหนึ่ง "เหมือนรอใคร บางคน มาหลายหนาวเหมือนบางคราว เฝ้ารอใคร ผ่านหลายฝนผ่านหลายร้อน รอจนเจอ ใครบางคนเธอคือคน ทำฉันเศร้า เพราะเฝ้ารอ""คุณเป็นคนดีจริงๆ เท่าที่ผมเคยรู้จักมา ไม่มีศีลข้อใหนเลยหรือครับที่คุณรักษาไม่ได้ ?""มิได้คะ มีศีลข้อเดียวเท่านั้นที่ดิฉันไม่สามารถรักษาได้คือ ศีลข้อที่ ๔ "" ....!!!...."มิน่าเล่าถึงได้พุทธวจนะที่ว่า....."ผู้กล่าวคำเท็จอยู่ จะไม่ทำความผิดอื่น เป็นไม่มี"
เกิดมาชาติหน้า อาจจะปากเหม็นได้จะกลัวมั้ยเนี่ย :-)
เป็นเรื่องยากที่ผู้โกหกจะยอมรับว่าตัวเองโกหกด้วยการไม่โกหกแต่ก็เป็นนิทานที่สนุกดีครับคุณ tchirit หักมุมเจ็บๆแบบนี้ผมชอบทำให้เห็นว่าความไม่แน่นอนเกิดขึ้นได้เสมอ(แต่มักจะเป็นตอนจบ สำหรับกรณีเรื่องสั้น และเรื่องตลก)จะได้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท
ถ้าเราจับได้ว่าเค้าโกหก ขนาดบอกว่ารู้นะว่าพูดไม่จริง เค้าบอกว่าแต่ละคนมีเหตุผลและความคิดไม่เหมือนกันในการกระทำหนึ่งๆ อันนี้ยอมรับว่าต่างกันได้ไม่แปลก แต่ก็ไม่อยากให้เค้าเป็นคนกะล่อนชอบโกหก ควรทำยังไงคะ หรือปล่อยๆเค้าไปดี จะไปนั่งเทศน์ให้ฟังคงใช่ที่ค่ะ
คนที่ชอบโกหกจนเป็นนิสัย อยู่ๆจะให้เขาเลิกมันยากอยู่นะผมว่ายากพอๆกับตอนฝึกสมาธิใหม่ๆนะครับ ที่พยายามจะบังคับไม่ให้จิตฟุ้งไปไหนมันยากถ้าเราจะเทศน์ให้เขาฟังก็ต้องพิจารณาดูว่าเขาเป็นบัวเหล่าไหน และเรามีความสามารถแค่ไหนกันที่จะไปเปลี่ยนนิสัยเขาถ้าไม่เช่นนั้นแล้วอาจต้องมาทุกข์ใจโกรธเขาเพราะเห็นว่าเขาเป็นคนประเภท โปรดไม่ขึ้นนิสัยคนเปลี่ยนยากครับ โดยเฉพาะคนกระล่อนชอบโกหกผมก็มีเพื่อนแบบนี้ครับลองดูดีๆ เขาอาจมีแง่ดีอยู่บ้างนะครับ แค่เรารู้จักเขาดีจะได้ไม่เชื่อไปทุกเรื่องก็พอครับ : )
ตามมาส่งอมยิ้มกับนิทานคุณชูฤทธิ์ครับ :)
ไม่มีความเห็น