ไม่ทราบว่าท่านที่เกี่ยวข้องท่านอื่นๆ คิดอย่างผมหรือไม่ ว่าผู้ได้รับรางวัลนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ปี ๒๕๕๑ ท่านหนึ่ง มีลักษณะการทำงานวิจัยฉีกแนวไปจากวิถีปฏิบัติทั่วไป คือเป็นวิศวกร ที่ทำงานวิจัยสมุนไพร
ตามปกติ งานวิจัยสมุนไพรทำโดย เภสัชกร นักเคมี หรือแพทย์ แต่กรณีนี้ ผศ. ดร. อาทิวรรณ โชติพฤกษ์ เป็นวิศวกร สังกัดภาควิชาวิศวกรรมเคมี จุฬาฯ
ประยุกต์เทคโนโลยีการไหลกึ่งวิกฤต และของไหลวิกฤตยวดยิ่ง (Subcritical and supercritical fluid technology) ในการสกัดสารสำคัญจากสาหร่ายเซลล์เดียวและจากพืชสมุนไพรไทย และใช้ปฏิกิริยา hydrolysis ของชีวมวลในของไหลกึ่งวิกฤตเพื่อพัฒนาโปรตีนมูลค่าเพิ่มจากวัตถุดิบในประเทศ ได้แก่ ยีสต์เหลือใช้จากโรงงานเบียร์ กากรำข้าว กากถั่วเหลือง และเศษไหม
จุดสำคัญของวิธีที่ใช้คือ เป็นวิธีที่ใช้อุณหภูมิไม่สูง ทำให้สารสำคัญไม่ถูกทำลายโดยความร้อน สารผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการวิจัย เช่น สารต้านอนุมูลอิสระจำพวกคาโรทินอยด์ สะกัดจากสาหร่ายเซลล์เดียวด้วยกระบวนการคาร์บอนไดอ็อกไซด์วิกฤตยวดยิ่ง ใช้น้ำกึ่งวิกฤตในการสะกัดสารต้านอนุมูลอิสระกลุ่มแอนทราควิโนนส์ จากรากของต้นยอ และกลุ่มฟินอลิก จากมะระขี้นก เป็นต้น
การทำงานของ ดร. อาทิวรรณ ต้องร่วมมือกับหลายฝ่ายอย่างกว้างขวางมาก รวมทั้งภาคอุตสาหกรรมก็เห็นโอกาสในการประยุกต์ใช้ Subcritical and supercritical fluid technology ในการผลิตสารสำคัญเป็นผลพลอยได้จากกากของเสียในอุตสาหกรรม
ผศ. ดร. อาทิวรรณ ได้รับรางวัลนักวิจัยรุ่นใหม่ดีเด่น ประจำปี ๒๕๕๑ จาก สกว. จากโครงการ การสกัดสารต้านมะเร็งจากรากของต้นยอด้วยน้ำกึ่งวิกฤตและแบบจำลองทาง คณิตศาสตร์ ได้ผลงานตีพิมพ์ ๗ เรื่อง Total Impact Factor 18.838
ผมยกเรื่องนี้มาบันทึกไว้ เพื่อชี้ว่า มหาวิทยาลัยที่ต้องการเป็นมหาวิทยาลัยวิจัย จะต้องส่งเสริมการทำงานข้ามศาสตร์ เอาชนะกรอบความคุ้นเคยเดิมๆ
วิจารณ์ พานิช
๑๙ ต.ค. ๕๑
ไม่มีความเห็น