หนังสือ “สุดทางทุกข์” หรือ “At Hell’s Gate” ที่ผมเพิ่งอ่านจบไป เป็นหนังสือที่ได้รับมาจากคุณอัฐพงศ์ เพลินพฤกษา สำนักพิมพ์ Oh My God เนื้อหาเป็นเรื่องราวของทหารอเมริกันที่ผ่าฟันเอาชีวิตรอดมาจากสงครามเวียตนามได้ หากแต่ว่าภายในกลับบอบช้ำๆ เหลือคณา ต้องผ่านการบำบัดรักษาต่างๆ นานา จนกระทั่งได้มาพบธรรมะในพระพุทธศาสนาที่สอนว่า “ให้เริ่มต้นด้วยการพิจารณาทุกข์ ไม่ใช่ให้วิ่งหนีมันไป”
ในหน้า 64 มีข้อความตอนหนึ่งว่า . . .
“. . . ถ้าเราไม่ตระหนักถึงธรรมชาติอันละเอียดอ่อนซับซ้อนของความทุกข์ ไม่ว่าจะทุกข์กับอะไรก็ตาม ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดการเยียวยาและการเปลี่ยนแปลงภายในขึ้น และเราจะยังคงสร้างเสริมเติมต่อความทุกข์นั้นไม่สิ้นสุด แล้วก็ส่งผ่านความทุกข์ต่อไปยังคนอื่นๆ
การเยียวยาที่ว่านี้ มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับกระบวนการฟัง ดังที่กล่าวไว้ในหน้า 171 ว่า . . .
“. . . ขอให้เรามารับฟังกันและกันเถิด รับฟังอย่างแท้จริงโดยไม่พยายามจะเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขสิ่งใด ขณะฟังขอให้เปิดใจและแสดงไมตรีจิตออกไป นี่คือการเริ่มต้นสู่ทางแห่งการเยียวยา แม้เราอาจคิดว่าตัวเองรู้แล้วว่าจะรับฟังอย่างไร แต่บ่อยครั้งยามคนอื่นพูด เราไม่ได้กำลังรับฟังอย่างแท้จริง หากแต่จะคอยตัดสินสิ่งที่อีกฝ่ายพูด หรือไม่ก็ปกป้องตัวเอง มีปฏิกิริยาตอบโต้ ให้คำชี้แนะ หรือหาทางควบคุมสถานการณ์ในทางใดทางหนึ่ง ดังนั้นการรับฟังอย่างมีวินัยจึงมีประโยชน์อย่างยิ่ง”
อีกข้อความหนึ่งที่ “โดนใจ” ผมค่อนข้างมาก ท่านผู้เขียน (คล้อด อันชิน ธอมัส) เขียนไว้ในตอนเกริ่นนำว่า . . .
“ . . .ฉันพบว่าไม่มีการฆ่าใดที่ชอบธรรม ไม่มีความต่างระหว่างความรุนแรงฝ่ายดีกับความรุนแรงฝ่ายเลว และไม่มีสงครามใดที่มีคุณธรรม สงครามเป็นเพียงการระเบิดออกของความทุกข์ระทมเท่านั้น”
หากมองสถานการณ์เมืองไทยที่กำลังเป็นไปในขณะนี้ ผมหวังว่าความทุกข์ระทมที่เรามีกันอยู่คงจะไม่ระเบิดออกมาเป็นอะไรที่รุนแรง เพราะอย่างที่ คล้อด อันชิน ธอมัส เตือนสติแล้วไว้แล้วว่า . . .
“ . . .ไม่มีการฆ่าใดที่ชอบธรรม ไม่มีความต่างระหว่างความรุนแรงฝ่ายดีกับความรุนแรงฝ่ายเลว และไม่มีสงครามใดที่มีคุณธรรม . . .”
วันนี้ ครูอ้อย มานั่งฟังอาจารย์ 2 วิชาแล้วค่ะ
ดีค่ะ ทำให้ได้คิด อย่างมีสติ ยับยั้งอัตตา บ้างนะคะ
ขอบคุณค่ะ อาจารย์สบายดีนะคะ
สวัสดีค่ะ อาจารย์
สวัสดีครับ
ขอบคุณอาจารย์ Handy ที่กรุณาตอกย้ำ ทำให้เราได้สติ เพราะ ณ วินาทีนี้ คงไม่มีใครเตือนเราได้ หากเราไม่เตือนตัวเราเอง
ความทุกข์ระทมที่เรามีกันอยู่คงจะไม่ระเบิดออกมาเป็นอะไรที่รุนแรงได้เลย เพราะพวกเราใช้วิธีการแบบ "อหิงสา"
แต่ที่ระเบิดออกมาคือ รัฐบาลและตำรวจที่สั่งฆ่าพวกเรา
อ่านที่คุณจ๋าเขียนมา ผมไม่ค่อยชอบคำว่า "พวกเรา" เท่าใดนัก . . . ตอนนี้กำลังดูจิต เห็นความหงุดหงิดที่เกิดขึ้นในใจตัวเอง
แต่ถึงอย่างไ รก็ยังเชื่อในคำเตือนของ คล้อด อันชิน ธอมัส ที่ว่า . . . “ไม่มีการฆ่าใดที่ชอบธรรม ไม่มีความต่างระหว่างความรุนแรงฝ่ายดีกับความรุนแรงฝ่ายเลว และไม่มีสงครามใดที่มีคุณธรรม . . .”
ขอบคุณที่นำบทความที่เหมาะสมกับสถานการณ์มาให้อ่าน มีหลายคนที่เคยเลือกฝ่ายแล้วถอยหลังออกมาจำนวนมาก เพราะการมาหยุดจะได้มีเวลาทบทวนและจิตเบิกบานทำให้ปัญญาเกิดขึ้นจริง ๆ การยอมรับฟังก่อนนำความคิดของตนไปตัดสินก่อนการรับฟังกระทั้งจบอาจผิดพลาด และไม่เป็นที่ยอมรับของผู้อธิบาย ปัญหาจึงไม่ถูกแก้ไข ดังนั้นช่วยกันฟังด้วยความตั้งใจและให้โอกาสผู้รับฟังได้พูด หากมีเหตุผลก็รวมกันแก้ไข พยายามพูดเรื่องในอนาคตที่เอาอดีตที่ไม่ดีมาเป็นบรรทัดฐาน
สวัสดีครับ
“ . . .ไม่มีการฆ่าใดที่ชอบธรรม ไม่มีความต่างระหว่างความรุนแรงฝ่ายดีกับความรุนแรงฝ่ายเลว และไม่มีสงครามใดที่มีคุณธรรม . . .”
• นับเป็นข้อคิดที่ดีมาก ๆ ครับ
ขอบคุณ คุณนิด สำหรับแง่คิดและคำแนะนำดีๆ ที่ว่า ". . . หยุดจะได้มีเวลาทบทวนและจิตเบิกบานทำให้ปัญญาเกิดขึ้นจริง ๆ การยอมรับฟังก่อนนำความคิดของตนไปตัดสิน . . ."
สวัสดีครับอาจารย์
อีกตอนหนึ่งจากเล่มนี้ที่สะกิดใจผมก็คือ "สงครามมิใช่สิ่งที่เกิดขึ้นนอกตัวเรา แต่เป็นส่วนขยายของพวกเราเอง"
ผมก็ชอบขอความนี้ เพราะทำให้ได้ตระหนักว่า เราเองก็มีสงคราม "ภายในใจ" เราตลอดเวลา เราทุกคนล้วนเป็นสาเหตุที่แท้จริงของความขัดแย้งที่แสดงออกมาในสังคม !!