96. บัญญัติ 10 ประการสำหรับผู้ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ


บัญญัติ 10 ประการสำหรับผู้ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ

            การที่เราจะดูแลสุขภาพ  ด้วยการออกกำลังกายนั้นเป็นสิ่งที่ดีและมีประโยชน์  แต่การออกำลังกายนั้นจำเป็นต้องคำนึงถึงส่วนประกอบด้านอื่นให้ถูกต้องและเหมาะสม   จึงได้ค้นคว้าเพื่อมานำเสนอ  ดังนี้

 

บัญญัติ 10 ประการสำหรับผู้ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ

 

เพื่อให้การออกกำลังกายได้ผลดีเต็มที่และไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ผู้ที่ต้องการใช้

การออกกำลังกาย  เพื่อส่งเสริมสุขภาพ พึงยึดข้อปฏิบัติ 10 ข้อดังนี้

            1. การประมาณตน สภาพร่างกายและความเหมาะสมกับกีฬาชนิดต่าง ๆ  ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน  แม้ในคนคนเดียวกันในช่วงเวลาหนึ่งกับอีกช่วงเวลาหนึ่งก็แตกต่างกันได้ การจะได้ประโยชน์จากการออกกำลังกายมีกฎตายตัวว่าจะต้องเป็นไปตามความเหมาะสมกับสภาพร่างกาย หากการออก กำลังกายเบาเกินไปก็ได้ผลน้อยหรือไม่ได้ผล แต่หากออกกำลังกายหนักเกินไป  นอกจากไม่ได้ผลแล้วยังเป็นอันตรายแก่สุขภาพอย่างยิ่งด้วย   ข้อสังเกตที่สำคัญว่าการออกกำลังกายหนักเกินไปหรือไม่  ให้สังเกตจากความเหนื่อยคือ หากออกกำลังกายถึงขั้นเหนื่อยแล้วยังสามารถทำต่อไปได้ด้วยความหนักเท่าเดิมโดยไม่เหนื่อยเพิ่มขึ้น  และเมื่อพักแล้วไม่เกิน 10  นาที  ก็รู้สึกหายเหนื่อยแม้จะมีความอ่อนเพลียอยู่บ้าง แต่ในวันรุ่งขึ้นก็หายอ่อนเพลียกลับสดชื่นเช่นเดิมหรือมากกว่า  แสดงว่า  การออกกำลังกายนั้นไม่หนักเกินไป แต่ถ้ารู้สึกเหนื่อยแล้วฝืนต่อไปกลับเหนื่อยมากขึ้นจนหอบ  แม้พักแล้วเป็นชั่วโมงก็ยังไม่หายเหนื่อย  และในวันรุ่งขึ้นก็ยังอ่อนเพลียอยู่   แสดงว่า  การออกกำลังกายนั้นหนักเกินไป   การออกกำลังกายครั้งใหม่จะต้องรอให้ร่างกายกลับสู่สภาพเดิมก่อนแล้วค่อยเริ่มด้วยความหนักที่น้อยกว่าเดิม จึงจะเป็นการปฏิบัติที่เพิ่มพูนประสิทธิภาพ

            2.  การแต่งกาย มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งในด้านการเคลื่อนไหว  ความอดทน  และจิตวิทยาการ

ออกกำลังกายและการเล่นกีฬาแต่ละอย่างย่อมมีเครื่องแต่งกายที่เหมาะสมทั้งเสื้อ  กางเกง  และรองเท้า  เสื้อผ้าที่รุ่มร่าม  รองเท้าที่ไม่เหมาะกับเท้าหรือสภาพสนาม ย่อมทำให้การเคลื่อนไหวไม่คล่องตัวเท่าที่ควรและยังเป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุ ในด้านความอดทน   ต้องคำนึงถึงการระบายความร้อนออกจากร่างกายเป็นสำคัญ   เพราะในระหว่างที่ออกกำลังกาย ร่างกายจะมีความร้อนเกิดขึ้นมาก หากระบายออกไม่ทัน ความร้อนที่สะสมขึ้นจะเป็นตัวจำกัดการออกกำลังกายต่อไปและทำอันตรายต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ในกรณีที่เสื้อผ้ามิดชิดเกินไปหรือเสื้อผ้าทำด้วยวัสดุสังเคราะห์ที่มีคุณสมบัติในการซับเหงื่อได้น้อย จะทำให้การระบายความร้อนออกจากร่างกายเป็นไปด้วยความลำบากยิ่งขึ้น  เรื่องที่ปฏิบัติผิดกันอยู่เสมอ  คือ การใช้ชุดวอร์ม โดยพร่ำเพรื่อ จุดประสงค์หลักในการใส่ชุดวอร์ม  คือ ทำให้ร่างกายอบอุ่นเร็ว (Warm up) เมื่อความอบอุ่นของร่างกายสูงเพียงพอแล้ว การทำงานของ ร่างกายจะได้สมรรถภาพสูงสุด  แต่ถ้าอบอุ่น (ร้อน) เกินไปสมรรถภาพทางกายจะกลับลดลง สำหรับสภาพอากาศในประเทศไทย  การใช้ชุดวอร์มเกือบจะไม่มีความจำเป็นเลย เพราะอากาศร้อนอยู่แล้ว ถ้าจะใช้ก็ไม่ควรจะใช้ในระหว่างการฝึกซ้อมหรือออกกำลังที่ใช้ความอดทน ปกติควรใช้เสื้อผ้าสีอ่อน

            3.  เลือกเวลาและดินฟ้าอากาศ ทุกคนควรกำหนดเวลาฝึกซ้อมที่แน่นอนไว้ แต่ควรเป็น

เวลาเดียวกันทุกวัน  เพราะมีผลต่อการปรับตัวของร่างกาย การฝึกซ้อมตามความสะดวกโดยไม่มีการกำหนดเวลาแน่นอนและการฝึกในสภาพอากาศร้อนจะทำให้เหนื่อยเร็วและได้ปริมาณน้อยกว่าในอากาศเย็น จึงไม่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการฝึกความอดทน การเลือกอากาศอาจทำได้ยากหรือทำไม่ได้ แต่

การเลือกเวลาทุกคนทำได้  โดยเฉพาะเวลาเช้าตรู่และตอนเย็นอุณหภูมิต่ำกว่ากลางวัน จึงเหมาะสำหรับการออกกำลังกายเพื่อความอดทน ส่วนการฝึกด้านแรงกล้ามเนื้อและความเร็วระยะสั้น ๆ  อาจทำในอากาศร้อนได้อย่างไรก็ตามในการฝึกซ้อมเพื่อแข่งขัน จะต้องคำนึงถึงเวลาที่ใช้แข่งขันด้วย แต่ไม่จำเป็นต้องฝึกซ้อมในเวลานั้นทุกครั้งไป

      4.  สภาพของกระเพาะอาหาร ในเวลาอิ่มจัดกระเพาะอาหารซึ่งอยู่ใต้กะบังลมจะเป็นตัวทำให้

การขยายของปอดเป็นไปไม่ได้ดีเท่าที่ควร เพราะกะบังลมไม่อาจหดตัวต่ำลงได้มาก ในขณะเดียวกันในระบบไหลเวียนเลือดก็จะต้องแบ่งเลือดส่วนหนึ่งไปใช้ในการย่อยและดูดซึมอาหาร ทำให้เลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อลดน้อยลง  จึงเป็นผลเสียต่อการออกกำลังกาย   ยิ่งกว่านั้นในกีฬาที่มีการกระทบกระแทก กระเพาะอาหารที่เต็มแน่นจะแตกได้ง่ายกว่ากระเพาะอาหารที่ว่าง  หลักทั่วไปจึงให้งดอาหารหนักก่อนออกกำลังกาย 3 ชั่วโมง อย่างไรก็ตามกีฬาที่ใช้ความอดทนเป็นชั่วโมง ๆ  เช่น วิ่งมาราธอนและจักรยานทางไกล ร่างกายต้องใช้พลังงานมาก การให้ท้องว่างอยู่นานอาจทำให้พลังงานสำรองหมดไป  ดังนั้น ก่อนการแข่งขันและระหว่างการแข่งขันอาจเติมอาหารที่ย่อยง่ายในปริมาณไม่ถึงอิ่มได้เป็นระยะ ๆ

            5.  การดื่มน้ำ  น้ำไม่ใช่อาหารแต่มีความจำเป็นมากในการออกกำลังกาย   เพราะถ้าร่างกายสูญเสียน้ำไปมากถึงระดับหนึ่งสมรรถภาพจะลดต่ำลง เนื่องจากการระบายความร้อนออกจากร่างกายขัดข้องและถ้าเสียน้ำมากต่อไปก็จะเป็นอันตรายต่อร่างกาย จากการทดลองทั้งในห้องปฏิบัติการและในสนามเกี่ยวกับสมรรถภาพทางกายในสภาพที่ขาดน้ำและไม่ขาดน้ำ ได้ข้อสรุปกันว่า การขาดน้ำทำให้สมรรถภาพ

ทางกายลดลง การให้น้ำชดเชยส่วนที่ขาดทำให้สมรรถภาพทางกายไม่ลดลง  น้ำสำรองนี้มีปริมาณ  2 %  ของน้ำหนักตัว  (เช่น คนที่น้ำหนัก 50 กก. มีน้ำสำรองสำหรับเสียได้ 1 กก.)  ดังนั้น  การเล่นกีฬาใด ๆ ก็ตามที่มีการเสียน้ำไม่เกินกว่า 2 % ของน้ำหนักตัว และก่อนการแข่งขันร่างกายอยู่ในสภาพที่ไม่ขาดดุลน้ำหรือในระหว่างเล่นไม่เกิดความกระหาย   ผู้เล่นไม่จำเป็นต้องเติมน้ำในระหว่างนั้น   ในอากาศร้อน  

การเล่นกีฬาชั่วโมงหนึ่งอาจทำให้ร่างกายเสียน้ำถึง  2  ลิตรหรือกว่านั้น ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการชดเชย ความกระหายเป็นสิ่งบ่งบอกอย่างหนึ่งว่าร่างกายกำลังขาดน้ำ   ถ้าไม่สามารถคำนวณได้แน่นอนว่าจะดื่มน้ำในครั้งเดียวเป็นปริมาณเท่าใดจึงหมดความกระหาย จะต้องค่อย ๆ  เฉลี่ยปริมาณออกไป ในการทดลองของสถาบันกีฬาเวชศาสตร์แห่งเบอร์ลินพบว่า การให้น้ำชดเชยในปริมาณเท่ากับที่จะสูญเสียใน

การออกกำลังจะทำให้สมรรถภาพทางกายดีที่สุด แต่จะต้องแบ่งการชดเชยออกไปเป็นจำนวน  25 %  ใน

1 ชั่วโมง ก่อนการเล่นอีก 75 % เฉลี่ย  ไปตามระยะเวลาการออกกำลังกาย

            6.  ความเจ็บป่วย ความเจ็บป่วยทุกชนิดทำให้สมรรถภาพทางกายลดลง และร่างกายต้องการ

การพักผ่อน การออกกำลังกายที่เคยทำอยู่ย่อมเป็นการเกินกว่าที่สภาพร่างกายจะรับได้และอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่อชีวิต  โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างการเป็นไข้ซึ่งร่างกายมีอุณหภูมิสูงกว่าปกติและหัวใจต้องทำงานมากกว่าปกติ  เพื่อระบายความร้อน เมื่อไปออกกำลังกายเข้าอีก   การระบายความร้อนและหัวใจจึงต้องทำงานหนักอย่างยิ่ง แม้แต่งานเบา ๆ ก็อาจเป็นงานหนักได้ นอกจากนั้นหากเป็นไข้ที่เกิดจาก เชื้อโรค  การไหลเวียนเลือดที่เพิ่มขึ้นจากการออกกำลังกาย  อาจทำให้เชื้อโรคแพร่กระจายไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย  และทำให้เกิดอักเสบทั่วร่างกายหรือในอวัยวะที่สำคัญ  ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อชีวิต

การเป็นหวัด  แพ้อากาศ  ถ้าไม่มีอาการอื่นร่วม  เช่น ไข้  เจ็บคอ  ไอ  อ่อนเพลีย  ก็สามารถฝึกซ้อมและออกกำลังกายได้ตามปกติ 

            7.  ความเจ็บป่วยระหว่างการออกกำลังกาย  เป็นที่แน่นอนว่าระหว่างการออกกำลังกายใด ๆ

ก็ตามโอกาสจะเกิดอุบัติเหตุมีได้มากกว่าการอยู่เฉย ๆ  ยิ่งเป็นการเล่นกีฬาที่มีการปะทะกันด้วยแล้ว โอกาสเกิดอุบัติเหตุยิ่งมีมากขึ้น   แม้จะเป็นการออกกำลังกายคนเดียว ถ้าหากมีการเปลี่ยนสถานที่ ปริมาณและความหนักของการออกกำลังกาย ก็อาจมีอุบัติเหตุหรือความเจ็บป่วยเกิดขึ้นได้   ความรู้สึก

ไม่สบาย อึดอัด  การบังคับเคลื่อนไหวไม่ได้ เป็นสัญญาณที่แสดงว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น   ถ้าฝืน

ออกกำลังกายต่อไปโอกาสที่จะเจ็บป่วยจนถึงขั้นร้ายแรงย่อมมากขึ้นตามลำดับ   ดังนั้นเมื่อเกิดความเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุขึ้นในระหว่างการออกกำลังกายควรหยุดพักผ่อน ความเจ็บป่วยเล็กน้อยบางครั้งเมื่อพัก 

ชั่วครู่ก็หายไปเป็นปกติ อาจเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายต่อไปได้   แต่ถ้าออกกำลังกายต่อไปแล้วอาการเดิมกลับเป็นมากขึ้นก็ต้องหยุด  ข้อนี้สำคัญมากสำหรับผู้เล่นกีฬา  หรือผู้ออกกำลังกายที่อายุเกิน  55   ปี

ขึ้นไป  โดยเฉพาะอาการหายใจขัด  จุกแน่น  เจ็บบริเวณหน้าอก  ซึ่งอาจเป็นอาการของการขาดเลือด

หล่อเลี้ยงหัวใจการฝืนต่อไปอาจทำให้หัวใจวายและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

            8.  ด้านจิตใจ  ในระหว่างการฝึกซ้อมและการออกกำลังกาย  จำเป็นต้องทำจิตใจให้ปลอดโปร่งคิดถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการฝึกซ้อมหรือออกกำลังกาย   ตั้งใจปฏิบัติตามท่าทาง เทคนิคต่าง ๆ และคิด แก้ไขการปฏิบัติที่ผิด จะต้องพยายามขจัดเรื่องที่รบกวนจิตใจอื่น ๆ ในระหว่างนั้นออกไป  หากขจัดไม่ได้จริง ๆ  ก็ไม่ควรฝึกซ้อมหรือออกกำลังกายต่อไป  เพราะทำให้เสียสมาธิและเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย (ตามหลักทางจิตวิทยา การออกกำลังกายมีผลต่อจิตใจในการช่วยลดความเครียดอยู่แล้ว)

      9. ความสม่ำเสมอ  ผลเพิ่มของสมรรถภาพต่าง ๆ  นอกจากจะขึ้นอยู่กับปริมาณความหนักเบาของ

การฝึกซ้อมหรือออกกำลังกายแล้วยังขึ้นอยู่กับความสม่ำเสมอด้วย   ดังนั้น   การฝึกซ้อมเพื่อแข่งขัน หรือเพื่อสุขภาพก็ตาม ต้องพยายามรักษาความสม่ำเสมอไว้ การฝึกหนักติดต่อกัน  1  เดือน  แล้วหยุดไป  

2  สัปดาห์  แล้วจะมาเริ่มใหม่ จะเริ่มเท่ากับการฝึกครั้งสุดท้ายไม่ได้ จะต้องลดความหนักให้ต่ำกว่าครั้ง สุดท้ายที่ฝึกอยู่แล้วจึงค่อย ๆ  เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นการเสียเวลามาก  ข้อนี้นักกีฬาของไทยเป็นอยู่เสมอเมื่อหยุดแข่งขันก็หยุดฝึกซ้อมและต้องตั้งต้นกันใหม่เมื่อจะเริ่มแข่งขันอีก โอกาสที่จะเพิ่มสมรรถภาพให้สูง กว่าเดิมจึงไม่มี

      10. การพักผ่อน  หลังการฝึกซ้อมหรือออกกำลังกาย ร่างกายเสียพลังงานสำรองไปมาก จำเป็นต้องมีการชดเชย  รวมทั้งต้องซ่อมแซมส่วนสึกหรอและสร้างเสริมให้แข็งแรงยิ่งขึ้น  กระบวนการเหล่านี้จะเกิดขึ้นในระหว่างการพักผ่อนหลังจากฝึกซ้อมหรือการออกกำลังกายอย่างหนัก  จึงจำเป็นต้องพักผ่อนให้เพียงพอ  ข้อสังเกตง่าย ๆ  คือ  ก่อนการออกกำลังกายครั้งต่อไป ร่างกายจะต้องสดชื่นอยู่ในสภาพเดิมหรือดีกว่าเดิม  การออกกำลังกายวันต่อไปจึงจะทำได้มากขึ้นเป็นลำดับ   ข้อปฏิบัติ  10  ประการนี้  อาจจะไม่มีรายละเอียดมากพอหรือไม่ครบถ้วน   แต่ถ้าผู้ออกกำลังกายนำไปปฏิบัติได้ ก็จะช่วยให้การฝึกซ้อมหรือการออกกำลังกายได้ผลดียิ่งขึ้น และลดอันตรายที่อาจจะ เกิดขึ้นให้น้อยลงด้วย

 

ที่มา  :  http://www.swu.ac.th/royal/book6/b6c6.html

หมายเลขบันทึก: 218747เขียนเมื่อ 25 ตุลาคม 2008 18:34 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 มิถุนายน 2012 23:05 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

มารับบัญญัติ 10 ประการสำหรับผู้ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ วันนี้ไปออกมาแล้ว  ขอบคุณ

ไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกายเลยค่ะ ต่อไปนี้คงต้องออกกำลังกายบ้างแล้วล่ะ

สวัสดีครับคุณ สสมท ปท มบพ.

///บัญญัติสิบประการ ให้จำ ออกกำลังกาย

//โรคภัยหาย ไม่ต้องพึ่งยา รักษาเอง

///เป็นยาวิเศษ เขาบอก ร้องเป็นเพลง

// เมืองไทยแข็งแรง คนไทยแข็งแรง แข่งกันออกกำลังกาย///

เจริญพร โยมสาวสวย

บันทึกมีประโยชน์มาก

อาตมาเดินทุกวันๆละหลายกิโลเมตร

 

เจริญพร

  • ขออนุญาตนำวิธีออกกำลังกายเพื่อสุขภาพไปใช้สัก ๔-๕ วิธีนะครับ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท