ผสานสัมพันธ์ ผู้ปกครอง ครู ดูแลลูก(ศิษย์)รัก ช่วงวัยรุ่น
ลักษณะเรื่องเล่า : เป็นเรื่องเล่าความสำเร็จในการปฏิบัติงานที่เกิดจากกระบวนการแลกเปลี่ยน
เรียนรู้ร่วมกันของครูกับผู้ปกครองนักเรียนหลังนำการจัดการความรู้ไปใช้
ความเป็นมาของเรื่องเล่าเร้าพลัง :
การพัฒนานักเรียนให้นักเรียนเป็นบุคคลที่มีคุณภาพทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความสามารถ มีคุณธรรม จริยธรรม และมีวิถีชีวิตที่เป็นสุขตามที่สังคมมุ่งหวังไว้ โดยผ่านกระบวนการทางการศึกษานั้น นอกจากจะดำเนินการด้วยการส่งเสริม สนับสนุนนักเรียนแล้ว การป้องกันและการช่วยเหลือแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับนักเรียนก็เป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากทั้งด้านการสื่อสาร เทคโนโลยีต่าง ๆ ซึ่งนอกจากจะส่งผลกระทบต่อผู้คนในเชิงบวกแล้ว ในเชิงลบก็มีปรากฏเช่นกัน เป็นต้นว่า ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาการระบาดของสารเสพติด ปัญหาการแข่งขันในรูปแบบต่าง ๆ ปัญหาครอบครัว ซึ่งก่อให้เกิดความทุกข์ ความวิตกกังวล ความเครียด มีการปรับตัวที่ไม่เหมาะสมหรืออื่น ๆ ที่เป็นผลเสียต่อสุขภาพจิตและสุขภาพกายของทุกคนที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น ภาพความสำเร็จที่เกิดจากการพัฒนานักเรียนให้เป็นไปตามที่มุ่งหวังนั้น จึงต้องอาศัย ความร่วมมือจากผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายทุกคน โดยเฉพาะผู้ปกครอง บุคลากรครูทุกคนในโรงเรียน ซึ่งมีครูที่ปรึกษาเป็นหลักสำคัญในการดำเนินการต่าง ๆ เพื่อการดูแลช่วยเหลือนักเรียนอย่างใกล้ชิดด้วยความรักเมตตาที่มีต่อลูกศิษย์ และภาคภูมิใจในบทบาทที่มีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเยาวชนให้เติบโต งอกงาม เป็นบุคคลที่มีคุณค่าของสังคมต่อไป
โรงเรียนอู่ทอง จึงตระหนักถึงความสำคัญ ได้จัดให้มีการประชุมผู้ปกครองนักเรียนทุกห้องเรียนในทุกภาคเรียน โดยผู้เล่าเรื่อง เป็นครูที่ปรึกษานักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/9 ได้นำกระบวนการจัดการความรู้มาใช้ในการประชุมผู้ปกครองชั้นเรียน เพื่อร่วมกันหาแนวทางในการดูแลลูกรัก และเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้ปกครอง ครู และสถานศึกษา
ขอบเขตของวิธีปฏิบัติที่ประสบความสำเร็จ :
ในการดำเนินการประชุมผู้ปกครองชั้นเรียน ม.1/9 นั้น ครูที่ปรึกษาได้ดำเนินการดังนี้
1. แบ่งกลุ่มผู้ปกครองนักเรียนออกเป็นกลุ่ม ๆ ละประมาณ 6-8 คน
2. ชี้แจงกระบวนการจัดการความรู้ แล้วให้แต่ละกลุ่มเลือกคุณอำนวย คุณลิขิต ซึ่งส่วนใหญ่จะได้ผู้ปกครองที่มีอาชีพรับราชการ
3. กำหนดหัวเรื่องคือ “การดูแลลูกรักช่วงวัยรุ่น”
4. ผู้ปกครองแต่ละคนเล่าเรื่องเกี่ยวกับผลงานที่น่าภาคภูมิใจในการดูแลลูกรักช่วงวัยรุ่นที่ประสบความสำเร็จ มีการซักถามแบบชื่นชมเพื่อช่วยกันสกัดหรือถอดความรู้ออกมาจากวิธีปฏิบัติที่นำไปสู่ผลสำเร็จที่น่าชื่นชมนั้น และบันทึกเป็นขุมความรู้ไว้
5. สังเคราะห์วิธีปฏิบัติที่ได้ในแต่ละกลุ่มสรุปเป็นแนวทางที่ปฏิบัติได้
6. ตัวแทนทุกกลุ่มออกมานำเสนอวิธีปฏิบัติที่ร่วมกันสังเคราะห์ในกลุ่มตน มีการซักถามแบบชื่นชม
7. ครูที่ปรึกษาและผู้ปกครองร่วมกันสังเคราะห์วิธีปฏิบัติในการดูแลลูกรักช่วงวัยรุ่นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/9 ได้วิธีการที่ครูและผู้ปกครองจะนำไปใช้ปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จต่อไปได้
การจัดการความรู้ของครูและผู้ปกครองนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/9 ครั้งนี้ ได้ วิธีปฏิบัติในการดูแลลูกรักช่วงวัยรุ่นที่ประสบความสำเร็จ สรุปดังนี้
1. ผู้ปกครองต้องทำให้ลูกเข้าใจก่อนว่าวัยนี้ทั้งตัวลูกและเพื่อนต่างก็โตขึ้น ร่างกายและจิตใจมีการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่วัยหนุ่มสาว เกิดความต้องการต่อความรู้สึกทางเพศ ถ้าเราไม่รู้จักระวังตัวหรือควบคุมตัวเองอย่างเหมาะสมมีโอกาสที่เกิดปัญหาเพลี่ยงพล้ำได้ง่าย
2. ผู้ปกครองยกตัวอย่างสถานการณ์ต่าง ๆ คุยกับลูกพร้อมแนะนำแนวทางที่เหมาะสม
3. ต้องหลีกเลี่ยงการจับไม้จับมือ การสัมผัสเนื้อตัว แม้จะเป็นเพื่อนซี้ที่สนิทกันมากก็ตาม
4. ไม่ควรอยู่ในที่ลับตาสองต่อสองกับเพื่อนต่างเพศหากมีความจำเป็นควรชวนคนอื่นอยู่เป็นเพื่อนด้วย
5. การพูดคุยกันทางโทรศัพท์ควรแนะนำลูก ซักถามอย่างเป็นกันเองเช่นคุยอยู่กับใคร เขารู้สึกอย่างไรกับเรา เราควรวางตัวอย่างไรในฐานะที่ยังเป็นนักเรียน รู้จักปฏิเสธให้เป็น เป็นต้น
6. การที่ลูกชวนเพื่อนมาบ้านหรือไปบ้านเพื่อนต่างเพศไม่ควรไปตามลำพังถึงแม้ว่าเราจะเชื่อใจลูกก็ตาม หากลูกจะไปงานวันเกิดหรือไปทำรายงานก็ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีเพื่อน ๆ คนอื่นไปด้วยหลายคน หากไม่แน่ใจก็ควรไปส่ง หรือขอนั่งเป็นเพื่อนด้วยก็น่าจะได้
7. การร่วมงานเลี้ยงในหมู่เพื่อน ๆ ผู้ปกครองควรกำหนดข้อตกลง ข้อห้าม เช่น การดื่มเหล้า สูบบุหรี่ การแต่งกายที่เหมาะสม เวลากลับ เป็นต้น
ผลที่เกิดขึ้น :
จากการสังเกตพฤติกรรมนักเรียนเมื่อผู้ปกครองและครูนำแนวทางนี้ไปปฏิบัติแล้ว พบว่านักเรียน ม.1/9 ทุกคนมีพฤติกรรมที่ดี ปลอดจากปัญหาทางเพศ สิ่งเสพติด และการทะเลาะวิวาท สร้างความปลาบปลื้มใจแก่ครูและผู้ปกครองทุก ๆ คน อีกทั้งผู้ปกครองทุกคนเกิดความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ติดต่อสอบถาม ปรึกษาปัญหากัน และมีทัศนคติที่ดีต่อครูและสถานศึกษาเป็นอย่างมาก