ทรรศนะของพุทธปรัชญาที่มีต่อสังสารวัฏในแนวคิดสัสสตทิฏฐิ
ศาสนาพราหมณ์และศาสนาเชนเชื่อว่า ภายในตัวมนุษย์มีแก่นสารที่เป็นอมตะ ไม่รู้จักการเปลี่ยนแปลงและเสื่อมสลาย แก่นสารที่ว่านี้จะเป็นตัวไปเกิดในภพใหม่ชาติใหม่ต่อไป ทั้งสองทรรศนะนี้เชื่ออีกว่า มนุษย์ทุกคนล้วนมีแก่นสารที่เป็นอมตะคนละหนึ่งดวง แก่นสารที่เป็นอมตะจึงเป็นเอกลักษณ์พิเศษในทรรศนะของศาสนาพราหมณ์และศาสนาเชน แก่นสารที่ว่านี้ไม่ตายไปพร้อมกับร่างกาย เมื่อใดร่างกายชำรุดแตกสลายหรือตายไม่ แก่นสารที่เป็นอมตะนี้จะทิ้งร่างกายเก่าและจะไปสิงในร่างกายใหม่ทันที
พุทธปรัชญาย่อมไม่เห็นด้วยกับแนวคิดเช่นนี้แน่นอน การที่คนทั่วไปเข้าใจว่าในตัวคนเรามีแก่นสารที่เป็นอมตะ เช่นนั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นการเข้าใจผิดในความเป็นจริง แก่นสารที่เป็นอมตะนั้นไม่มี พระพุทธองค์ทรงอธิบายว่าแก่นสารที่เป็นอมตะน่าจะอยู่ในอำนาจหรือบังคับให้เป็นไปตามความปรารถนาของเราได้ แต่แก่นสารที่เป็นอมตะนั้นไม่สามารถอยู่ในอำนาจ หรือบังคับให้เป็นไปตามความปรารถนาของเราเลย ดังพระพุทธพจน์ในปัญจวัคคียสูตร ซึ่งเป็นสูตรที่ว่าด้วยลักษณะแห่งอนัตตาได้แสดงไว้ว่า
.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปมิใช่ตัวตน ก็หากว่ารูปนี้จักเป็นตัวตนแล้วไซร้ รูปนี้ก็คงไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ ทั้งยังจะได้ตามความปรารถนาในรูปว่าขอรูปของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย ก็เพราะเหตุที่รูปมิใช่ตัวตน ฉะนั้นรูปจึงเป็นเพื่ออาพาธ และไม่ได้ตามความปรารถนาในรูปว่า ขอรูปของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.....
เวทนามิใช่ตัวตน.....สัญญามิใช่ตัวตน.....สังขารมิใช่ตัวตน.....วิญญาณมิใช่ตัวตน.....
(สํ.ข. ๑๗/๑๒๗/๖๒-๘๓. ฉบับ สยามรฏฐสฺส เตปิฎกํ ๒๕๒๕.)
จากพระพุทธพจน์นี้แสดงให้เห็นว่า การที่เราเข้าใจว่า มีตัวตนที่เที่ยงแท้ ถาวรนั้น ในพุทธมติเห็นว่า ไม่มี เพราะคำว่า “ตัวตน” เป็นเพียงการประกอบร่วมกันเหมือนกับคำว่า รถ ที่เรียกว่ารถก็เพราะอาศัยสิ่งต่างๆ เข้าร่วมกันเป็นองค์ประกอบของรถ เมื่อแยกชิ้นส่วนต่าง ๆ ออกแล้ว คำว่ารถจะมีได้อย่างไร ตัวตนก็ เช่น เดียวกัน และสิ่งที่เรียกว่าตัวตนนั้นมันเป็นการสมมติที่เราใช้เรียกเท่านั้น ในความเป็นจริง หามีสิ่งนั้นไม่ จากข้อความนี้แสดงถึงพุทธมติดังนี้
ถ้าขันธ์ 5 เป็นอัตตาแล้วไซร้ ขันธ์เหล่านี้ก็คงไม่เกิดอาพาธ ไม่เสื่อมสลาย ไม่ชำรุด ดูเหมือนว่า ขันธ์ 5 มีการเปลี่ยนแปลงเสมอ แม้รูปที่เราเห็นว่ามันเป็นรูปร่างลักษณะ น่าจะเป็นตัวตนได้ แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า หากใครว่ารูปเป็นอัตตานั้น หาเป็นการสมควรไม่ ดังนัยแห่งพระพุทธพจน์ว่า
.....ผู้ใดกล่าวว่า รูปเป็นอัตตา คำของผู้นั้นไม่ควร รูปย่อมปรากฏแม้ความเกิดแม้ความเสื่อม ก็สิ่งใดแล ปรากฏแม้ความเกิดแม้ความเสื่อมสิ่งนั้นต้องกล่าวได้อย่างนี้ว่า อัตตาของเราเกิดขึ้นและเสื่อมไป เพราะฉะนั้นคำของผู้ที่กล่าวว่า รูปเป็นอัตตานั้นจึงไม่ควร ด้วยประการฉะนี้ จักษุจึงเป็นอนัตตา รูปจึงเป็นอนัตตา.....
(ม.อุ. ๑๔/๘๑๘/๕๑๒. ฉบับ สยามรฏฐสฺส เตปิฎฏกํ ๒๕๒๕.)
ข้อความนี้ชี้ให้เห็นว่า รูปเป็นสิ่งที่มีการเกิดและการดับ จึงเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน จากจุดนี้ เอง พุทธปรัชญาจึงไม่เห็นด้วยที่ว่า อาตมันตามนัยของศาสนาพราหมณ์ มีแก่นสารที่เป็นอมตะ เพราะอาตมันก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
การที่พุทธปรัชญาไม่เห็นด้วยกับแก่นสารที่เป็นอมตะโดยอาศัยหลักอนัตตานั้น เมื่อเราศึกษาเรื่องอนัตตา ก็จะพบว่า อัตตาที่เที่ยงแท้นั้นไม่มี ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มีการเกิด-ดับอยู่เสมอ และมีสันตติคือการสืบต่อเกี่ยวโยงกันไปไม่ขาดสายดุจลูกโซ่ จากหลักอนัตตานี้จึงมีลักษณะเด่นดังนี้
1. ไม่มีตัวตนที่แท้จริง ของสิ่งนั้นยืนตัวเป็นแก่นอยู่
2. สภาพที่ปรากฏนั้นเกิดจากองค์ประกอบต่าง ๆ มาประชุมกันปรุงแต่งขึ้น
3. องค์ประกอบเหล่านั้นเกิดขึ้นแล้วเสื่อมสลายอยู่ตลอดเวลา และสัมพันธ์เป็นปัจจัยแก่กันประมวลขึ้นเป็นกระบวนธรรม
4. ถ้ากำหนดแยกออกเป็นกระบวนธรรมย่อย ๆ มากมาย ก็มีความสัมพันธ์เป็นปัจจัยต่อกันระหว่างกระบวนธรรมด้วย
ข. ทรรศนะของพุทธปรัชญาที่มีต่ออุจเฉททิฏฐิ
ในประเด็นที่พระพุทธปรัชญามีทรรศนะต่ออุจเฉททิฏฐิ นี้ เมื่อเราศึกษาในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเห็นว่า พุทธปรัชญาย่อมไม่เห็นด้วยกับแนวคิดอุจเฉททิฏฐิ อย่างแน่นอนประมวลสรุปเหตุผลที่พุทธปรัชญาไม่เห็นด้วยกับแนวคิดอุจเฉททิฏฐิดังต่อไปนี้
พุทธปรัชญาได้วิจารณ์นักอุจเฉททิฏฐิที่ไม่เชื่อกรรมและสังสารวัฏนั้น นักคิดอุจเฉททิฏฐิมีความเห็นว่า มนุษย์ตายแล้วขาดสูญ
นักอุจเฉททิฏฐิเช่นปรัชญาจารวากถือว่า มนุษย์เป็นกลุ่มก้อนของสสารเมื่อมนุษย์ตายไป ชีวิตย่อมจบสิ้นเพียงนั้น การกระทำความดีและความชั่ว จะมีใครรับรู้หรือไม่ก็ตาม เมื่อมนุษย์ตายลงความดีและความชั่วก็จะตายไปพร้อมกับร่างกายนั้นด้วย จากจุดนี้ นักอุจเฉททิฏฐิชี้ให้เห็นว่า ความดีและความชั่วมีค่าเท่ากัน
พุทธปรัชญาย่อมไม่เห็นด้วยกับแนวคิดเช่นนี้ เพราะการกระทำของมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว จะมีค่าเท่ากันไม่ได้ และในสามัญสำนึกของคนทั่วไปย่อมแยกแยะระหว่างความดีและความชั่วว่ามีความแตกต่างกัน และในการกระทำดีและกระทำชั่วมิได้อยู่ภายในเงื่อนไขที่ว่าจะมีคนรับรู้หรือไม่ ความดีและความชั่วมิได้ขึ้นกับสิ่งเหล่านี้ ความดีและความชั่วเป็นกฎที่ดำรงอยู่ได้ด้วยตัวเองดังพระพุทธพจน์ว่า
น หิ ธมฺโท อธมิโม จ อฺโภ สมวิปากิโน
อธมฺโม นิรยํ เหติ ธมฺโม ปาเปติ สุคฺคติ
ธรรมและอธรรม 2 ประการ ให้ผลเหมือนกันหามิได้
อธรรมย่อมนำไปสู่นรก ธรรมย่อมให้ถึงสุคติ
(ขุ.ชา. ๒๗/๒๑๐/๖๔. ฉบับ สยามรฎฐสฺส ๒๕๒๕.)
จะเห็นได้ว่าการที่พุทธปรัชญาสอนเรื่องกรรมและสังสารวัฏนั้น ก็เพื่อที่จะแสดงผลแห่งกรรมนั้นย่อมมีค่าไม่เท่ากันแน่นอน เพราะเหตุดีย่อมนำไปสู่สถานที่ดีเหตุไม่ดีย่อมนำไปสู่สถานที่ไม่ดีอย่างแน่นอน ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า
จิตฺเต สงฺกิสิฏเฐ ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา
จิตฺเต อสงฺกิลิฏเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา
เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติ เป็นที่ต้องหวังได้
เมื่อจิตไม่เศร้าหมองแล้ว สุคติ เป็นอันที่หวังได้
(ม.มู. ๑๒/๙๒/๖๔. ฉบับ สยามรัฎฐสฺส เตปิฎกํ ๒๕๒๕.)
พุทธปรัชญามิได้สอนเพียงแต่ความสุขในระดับโลกียธรรมเท่านั้น หากแต่ยังสอนเกี่ยวกับความสุขในระดับโลกกุตตรธรรมด้วย เป้าหมายสูงสุดในชีวิตตามทรรศนะพุทธปรัชญาได้แก่ นิพพาน ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงเน้นเรื่องมนุษย์ให้มีความเข้าใจชีวิตของตนเอง หลักคำสอนของพระพุทธองค์ไม่ใช่เพียงแค่ทฤษฏีเท่านั้น หากยังเน้นถึงการปฏิบัติอีกด้วย นักอุจเฉททิฏฐิได้กล่าวถึงความสุขแห่งชีวิตในระดับโลกียธรรมเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ในอรรถกถาสามัญญผลสูตรได้กล่าวถึงนักอุจเฉททิฏฐิว่า เป็นพวกมิจฉาทิฏฐิ ห้ามทางสวรรค์และนิพพาน
และพระอรรถกถาจารย์ยังได้กล่าวถึงทรรศนะอชิตเกสกัมพลว่า เป็นผู้ห้ามวิบาก จึงกล่าวได้ว่า ทรรศนะนี้ห้ามทั้งกรรมและวิบากนั่นเอง จะเห็นได้ว่า พระอรรถกถาจารย์ได้วิพากษ์วิจารณ์นักอุจเฉททิฏฐิว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ คือเป็นผู้มีความเห็นผิด ส่วนพุทธปรัชญาแสดงว่า อนันตริยกรรมเป็นกรรมหนักที่สุดในพระพุทธศาสนา ผู้ใดทำอนันตริยกรรม ผู้นั้นห้ามสวรรค์และนิพพาน แต่นักอุจเฉททิฏฐิเป็นมิจฉาทิฏฐิจึงมีโทษมากกว่าอนันตริยกรรม
พุทธปรัชญาเชื่อว่า นักอุจเฉททิฏฐิที่ได้ปฏิเสธเรื่องกรรม การให้ผลของกรรม ย่อมทำให้เกิดผลกระทบด้านพฤติกรรมของมนุษย์ในแง่ปัจเจกบุคคลและสังคมอย่างแน่นอน เพราะนักอุจเฉททิฏฐิสอนให้มนุษย์แสวงความสุขความสบายให้แก่ชีวิตตนเองให้มากที่สุดโดยไม่คำนึงถึงว่าความสุขและความสบายที่เกิดขึ้นนั้น จะมาจากการกระทำเช่นใด เป้าหมายสูงสุดในชีวิตนักอุจเฉททิฏฐิก็คือความสุข ส่วนวิธีการกระทำของมนุษย์นั้นอาจดีบ้างไม่ดีบ้างก็ไม่สำคัญ แต่การกระทำใด ๆ ที่เป็นไปเพื่อความสุขในชีวิตนี้ การกระทำนั้น ๆ ถือว่า เป็นความสุขและเป็นเป้าหมายสูงสุดของชีวิต
จากการเสนอแนวคิดของนักคิดสัสสตทิฏฐิและอุจเฉททิฏฐิแล้ว หากจะมีปัญหาว่า พุทธปรัชญามีจุดยืนที่ตรงไหนและมีแนวความคิดอย่างไร ในประเด็นนี้ มีข้อความที่น่าพิจารณาตอนหนึ่งว่า “ครั้งนั้น” พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเรียกภิกษุปัญจวัคคีย์มาหาแล้วทรงแสดงธรรมว่า ภิกษุทั้งหลายทางสุดโต่งสองประการต่อไปนี้เป็นสิ่งที่บรรพชิตไม่ควรข้องแวะ ทางสุดโต่งสองประการที่ว่านั้น กามสุขัลลิกานุโยค......และอัตตกิลมถานุโยค........
(วินย. ๔/๑๓/๑๘. ฉบับ สยามรฏฐสฺส เตปิฎกํ ๒๕๒๕.)
จากพุทธพจน์นี้ชี้ให้เห็นว่า พุทธปรัชญาได้ปฏิเสธทางสุดโต่ง 2 ประการ คือกามสุขัลลิกานุโยค ได้แก่การหมกมุ่นอยู่ด้วยกาม และอัตตกิลมถานุโยค ได้แก่ การประกอบความลำบากเดือดร้อนแก่ตัวเอง การบีบคั้นทรมานตนให้เดือดร้อนและเมื่อกล่าวหากแต่หมายความว่า การเกิดใหม่นั้นขึ้นอยู่กับเงื่อนไขกล่าวคือ กิเลสตัณหา แต่ตัวที่ไปเกิดใหม่นั้นเรียกว่าจิต ซึ่งมีลักษณะเปลี่ยนแปลงเสมอ จิตดวงนี้จะเป็นดวงเดิมก็ไม่ใช่ จะไม่ใช่ดวงเดิมก็ไม่ใช่ ดังนั้น พุทธปรัชญาจังไม่ใช่สัสสตทิฏฐิแน่นอน และทรรศนะที่ว่ามนุษย์ตายแล้วขาดสูญก็จัดเป็นปัญหาสุดโต่งอีกปัญหาหนึ่ง ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่ทรงตอบแน่นอน เพราะเป็นอพยากตปัญหา คือ ปัญหาที่ไม่มีข้อยุติและไม่นำมาซึ่งประโยชน์สุข ทั้งไม่ใช่หนทางที่นำไปสู่การดับทุกข์ แต่เมื่อบุคคลได้บรรลุพระอรหัตต์แล้วครั้นปรินิพพาน (ตาย) ก็จะไม่ไปเกิดใหม่อีกต่อไป เหมือนไฟที่หมดเชื้อแล้ว พุทธปรัชญาพยายามที่จะบอกให้เราทราบว่า จุดยืนของพุทธปรัชญาอยู่ที่เหตุปัจจัย คือเมื่อเหตุปัจจัยมีผลก็ย่อมมี เมื่อเหตุไม่มีปัจจัยไม่มี ผลก็ย่อมไม่มีเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ในสมัยพุทธกาล ประเทศอินเดีย มีศาสนาและลัทธิต่าง ๆ เกิดขึ้นร่วมสมัยกันกับพุทธศาสนามากมาย พุทธปรัชญายังสามารถดำรงอยู่ได้อย่างโดดเด่น ศาสนาต่าง ๆ และลัทธิต่าง ๆ ได้เสนอปัญหาอภิปรัชญาหรือแนวคิดของตน แต่พระพุทธเจ้าไม่ทรงตอบปัญหาเหล่านี้ ไม่ใช่ว่าพระองค์จะไม่ทรงทราบปัญหาเหล่านี้แท้จริงแล้วทรงทราบดีกว่าเจ้าของลัทธิมากนัก เพราะทรงเป็นโลกวิทู คือ ทรงรู้แจ้งโลกทั้งปวง แต่ทรงเห็นว่า ปัญหาเหล่านี้ไม่เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์ ไม่เป็นไปเพื่อให้เกิดนิพพิทา (ความเบื่อหน่าย) วิราคะ (คลายกำหนัด) วิมุตติ (หลุดพ้น) วิสุทธิ (หมดจด) สันติ (สงบ) และนิพพาน (ดับกิเลสและกองทุกข์) ถ้าหากพระองค์ตอบไปเป็นการเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จะเป็นการสร้างความเข้าใจผิดแก่ผู้อื่น ฉะนั้นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสตอบก็คือ เรื่องที่เป็นอยู่ในปัจจุบันโดยไม่ต้องคำนึงถึงสิ่งที่เป็นอดีต และสิ่งที่เป็นอนาคต ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า
อคีตํ นานฺวาคเมยฺย นปฺปฏิกงฺเข อนาคตํ
ยทตีตมฺปหินนฺคํ อปฺปตฺตญจ อนาคตํ
ปจฺจฺปฺปนฺนญจ ตตฺถ ตคฺถ วิปสฺสติ
อสิหิรํ อสงฺกฺปฺปิ ติ วิทฺธา มนฺพฺรูหเย
อชฺเชว กิจฺจมาตปฺปิ โก ชญญา มรณํ สฺเว
น หิ โน สงฺครนฺเตน มหาเสเนน มจฺจฺนา
เอวิวิหาริมาตาปิ อโหรคฺตมตนฺทิตํ
ตํ เว ภพฺเทกรตฺโตติ สนฺโต อาจิกฺข เต มุนีติฯ
บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงมาแล้ว ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยัง
ไม่มาถึง สิ่งใดไปแล้ว สิ่งนั้นก็เป็นอันละไปแล้ว และ
สิ่งที่ยังไม่มาถึง ก็เป็นอันยังไม่ถึง ก็บุคคลใดเห็นแจ้ง
ธรรมปัจจุบัน ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลนในธรรมนั้นๆได้
บุคคลนั้นถึงเจริญธรรมนั้นเนือง ๆ ให้ปรุโปร่งเถิด
พึงทำความเพียรเสียในวันนี้แหละ.....
หลักคำสอนดังกล่าวนี้ ชี้ให้เห็นว่า พระพุทธศาสนามุ่งเน้นถึงหลักการประพฤติปฏิบัติในปัจจุบันนี้ โดยให้เร่งขวนขวายกระทำความเพียรในปัจจุบัน เพื่อขจัดปัญหาต่างๆ ในชีวิตประจำวันให้หมดสิ้นไป และมุ่งเน้นถึงสิ่งที่นำมาซึ่งประโยชน์สุขต่อการดำเนินชีวิตทั้งได้สอนเรื่องความจริงอันประเสริฐซึ่งเรียกว่าอริยสัจ 4 คือทุกข์ เหตุเกิดแห่งทุกข์ ความดับทุกข์ และข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ รวมความว่าจุดยืนของพุทธปรัชญานั้นได้เน้นถึงเรื่องมนุษย์และการประพฤติปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดคือพระนิพพาน
ไม่มีความเห็น