แม่คือมิตรแท้ในเรือนตน
เดือนสิงหาคมมีวันสำคัญอย่างหนึ่งของชาวไทยคือวันแม่ โดยกำหนดเอาวันประสูติของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ตรงกับวันที่ ๑๒ สิงหาคมของทุกปี ชาวไทยทุกหมู่เหล่าต่างน้อมใจระลึกถึงพระคุณแม่ และพร้อมใจกันจัดกิจกรรมเนื่องในวันแม่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับอาชีพหรือหน้าที่การงานของแต่ละคน
แม่ภาษาบาลีใช้คำว่า “มาตา” มักจะมาคู่กับคำว่า “พ่อ” ซึ่งใช้คำว่า “ปิตา” เมื่อนำมารวมกันจึงมักเรียกรวมกันว่า “มาตาปิตุ” หมายถึงแม่และพ่อ แม่นั้นพระพุทธเจ้าแสดงว่าเป็นมิตรในเรือนดังข้อความใน มิตตสูตร สังยุตตนิกาย สคาถวรรค (๑๕/๑๖๓/๔๓)
ครั้งหนึ่งมีเทวดาตนหนึ่งทูลถามพระพุทธเจ้าว่า “อะไรหนอเป็นมิตรของคนเดินทาง อะไรหนอเป็นมิตรในเรือนของตน อะไรเป็นมิตรของคนมีธุระเกิดขึ้น อะไรหนอเป็นมิตรติดตามไปถึงภพหน้า"
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “พวกเกวียน พวกโคต่างเป็นมิตรของคนเดินทาง มารดาเป็นมิตรในเรือนของตน สหายเป็นมิตรของคนผู้มีธุระเกิดขึ้นเนืองๆ บุญที่ตนทำเองเป็นมิตรติดตามไปถึงภพหน้า"
ในอรรถกถามิตตสูตร(๒๔/๑๖๓/๒๗๔)ได้อธิบายไว้ว่าคนเดินทางหมายถึงคนเดินทางร่วมกันหรือเดินทางด้วยลำแข้งหรือว่าคนเดินทางด้วยเกวียน ปัจจุบันอาจจะเดินทางด้วยรถยนต์ รถไฟ เรือหรือแม้แต่เครื่องบินก็จัดเข้าเป็นคนเดินทางเหมือนกัน ในอดีตหมายเอาเกวียนและโคต่าง แต่ปัจจุบันน่าจะพออนุโลมได้กับรถยนต์ รถไฟ เรือหรือแม้แต่เครื่องบิน สาระสำคัญจึงอยู่ที่อุปกรณ์ในการเดินทางต้องมีสภาพที่สมบูรณ์พร้อมจะนำพาเราไปได้ ที่สำคัญหากเราเดินทางโดยเป็นคนขับเองก็ต้องอยู่ในสภาพที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เมาแล้วไม่ขับ ไม่ต้องรอให้ถูกจับเสียก่อน
คำว่ามารดาเป็นมิตรในเรือนนั้นท่านหมายถึงเมื่อโรคภัยอันตรายต่างๆเกิดขึ้น ผู้ที่พร้อมจะให้การช่วยเหลือให้ปลอดภัยผู้นั้นชื่อว่ามิตร
เมื่อโรคภัยเกิดขึ้นในบ้านเรือนของตนนั้น คนอื่นๆเช่นบุตรภรรยาเป็นต้นอาจจะแสดงความรังเกียจออกมาให้เห็น แต่มารดาย่อมสำคัญแม้ซึ่งของไม่สะอาดของบุตรราวกะว่าท่อนจันทน์ ทำการดูแลรักษาเอาใจใส่ให้บุตรของตนอยู่รอดปลอดภัยจากโรคร้ายนั้นๆด้วยความรักความเมตตา มารดาจึงได้ชื่อว่าเป็นทั้งมิตรทั้งสหายในเรือนของตน
เมื่อมีธุระหรือการงานใดๆเกิดขึ้น ผู้ที่พร้อมจะให้ความช่วยเหลือโดยไม่บิดพลิ้ว คนนั้นท่านเรียกว่ามิตรสหาย ส่วนผู้ที่ชักชวนในอบายมุขต่างๆ ไม่เรียกว่ามิตรสหาย เป็นเพียงคนร่วมดื่ม มิตรสหายช่วยเหลือได้เฉพาะในโลกนี้เท่านั้น เมื่อเราสิ้นชีพไปแล้วไม่อาจจะตามไปช่วยเหลือได้ สิ่งที่จะช่วยเราได้คือบุญเท่านั้น บุญนั้นเป็นเหมือนพาหนะที่นำเราไปสู่โลกที่ดีได้ส่วนสิ่งที่คู่กับบุญคือบาปก็จะนำพาไปสู่ทุคติ
ผู้ปฏิบัติเหมาะสมในมารดาได้บุญมาก
หากลูกปฏิบัติตนให้เหมาะสมและถูกต้องในมารดาย่อมได้บุญมากดังที่ปรากฎในทุติยขตสูตร อังคุตรนิกาย จตุกกนิบาต ( ๒๑/๔/๔) ที่กล่าวถึงคนสี่ประเภทที่คนปฏิบัติดีทำถูกต้องจะได้บุญมากความว่า
“บุคคลผู้ปฏิบัติชอบในมารดา ในบิดา ในพระตถาคตในสาวกของพระตถาคต เป็นบัณฑิต ฉลาด เป็นสัตบุรุษ ย่อมบริหารตนไม่ให้เสื่อมเสีย เป็นผู้ไม่มีโทษทั้งนักปราชญ์ก็สรรเสริญ และได้บุญมาก”
ในพาลวรรคแสดงถึงการทำตอบแทนคนสองคนที่ทำได้ยากคือมารดาบิดา(๒๐/๒๗๘/๕๘)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวการกระทำตอบแทนไม่ได้ง่ายแก่ท่านทั้งสองคือมารดา บิดา ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุตรพึงประคับประคองมารดาด้วยบ่าข้างหนึ่ง พึงประคับประคองบิดาด้วยบ่าข้างหนึ่งเขามีอายุ มีชีวิตอยู่ตลอดร้อยปี และเขาพึงปฏิบัติท่านทั้งสองนั้นด้วยการอบกลิ่น การนวด การให้อาบน้ำ และการดัด และท่านทั้งสอง นั้น พึงถ่ายอุจจาระปัสสาวะบนบ่าทั้งสองของเขานั่นแหละ ดูกรภิกษุทั้งหลาย การกระทำอย่างนั้นยังไม่ชื่อว่าอันบุตรทำแล้วหรือทำตอบแทนแล้วแก่มารดาบิดาเลย
ดูกรภิกษุทั้งหลายอนึ่ง บุตรพึงสถาปนามารดาบิดาในราชสมบัติ อันเป็นอิสราธิปัตย์ ในแผ่นดินใหญ่อันมีรตนะเจ็ดประการมากหลายนี้ การกระทำกิจอย่างนั้น ยังไม่ชื่อว่าอันบุตรทำแล้วหรือทำตอบแทนแล้วแก่มารดาบิดาเลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะมารดาบิดามีอุปการะมาก บำรุงเลี้ยง แสดงโลกนี้แก่บุตรทั้งหลาย
ส่วนบุตรคนใดนำพามารดาบิดาผู้ไม่มีศรัทธา ให้สมาทานตั้งมั่นในศรัทธาสัมปทา ยังมารดาบิดาผู้ทุศีล ให้สมาทานตั้งมั่นในศีลสัมปทา ยังมารดาบิดาผู้มีความตระหนี่ ให้สมาทานตั้งมั่นในจาคสัมปทา ยังมารดาบิดาทรามปัญญา ให้สมาทานตั้งมั่นในปัญญาสัมปทา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้แล การกระทำอย่างนั้นย่อมชื่อว่าอันบุตรนั้นทำแล้วและทำตอบแทนแล้วแก่มารดาบิดา
มารดาบิดาเป็นประดุจพรหมและเป็นอาจารย์คนแรกของลูกดังที่ปรากฎในพรหมสูตร อังคุตตรนิกาย (๒๐/๔๗๐/๑๒๖) ว่า
“สกุลใดบุตรบูชามารดาบิดาในเรือนตนสกุลนั้นมีพรหม สกุลใดบุตรบูชามารดาบิดาในเรือนตน สกุลนั้นมีบุรพาจารย์สกุลใดบุตรบูชามารดาบิดาในเรือนตน สกุลนั้นมีอาหุไนยบุคคล ดูกรภิกษุทั้งหลาย คำว่าพรหมนี้เป็นชื่อของมารดาและบิดา คำว่าบุรพาจารย์นี้ เป็นชื่อของมารดาและบิดา คำว่าอาหุไนยบุคคลนี้ เป็นชื่อของมารดาและบิดา ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะมารดาบิดามีอุปการะมาก บำรุงเลี้ยง แสดงโลกนี้แก่บุตร"
มารดาบิดาผู้อนุเคราะห์บุตรท่านเรียกว่าพรหม บุรพาจารย์และอาหุไนยบุคคล เพราะฉะนั้นบัณฑิตพึงนมัสการและสักการะมารดาบิดาด้วยข้าว น้ำ ผ้า ที่นอน การอบกลิ่น การให้อาบน้ำ และการล้างเท้าทั้งสอง เพราะการปรนนิบัติในมารดาบิดาอย่างนั้น บัณฑิตย่อมสรรเสริญเขาในโลกนี้เอง เขาละจากโลกนี้ไปแล้ว ย่อมบันเทิงในโลกสวรรค์
เหตุผลที่มารดาอยากได้บุตร
มารดาอยากได้ลูกย่อมมีเหตุผล เพราะการตั้งครรภ์คือความทรมานทางกายแต่ใจเปี่ยมสุขของแม่ เหตุผลนั้นมีปรากฎในปุตตสูตร อังคุตรนิกาย ปัญจกนิบาต (๒๒/๓๙/๓๘)
มารดาบิดาผู้ฉลาด เล็งเห็นฐานะห้าประการจึงปรารถนาบุตรด้วยหวังว่า บุตรที่เราเลี้ยงมาแล้ว จักเลี้ยงตอบเรา จักทำกิจแทนเรา วงศ์สกุลจักดำรงอยู่ได้นาน บุตรจักปกครองทรัพย์มรดก และเมื่อเราตายไปแล้ว บุตรจักบำเพ็ญทักษิณาทานให้มารดาบิดาผู้ฉลาดเล็งเห็นฐานะเหล่านี้ จึงปรารถนาบุตร
เมื่อตั้งครรภ์มารดาย่อมไม่ได้เพื่อจะรับประทานอาหารที่ร้อนจัด เย็นจัด เปรี้ยวจัด เค็มจัด เผ็ดจัด ขมจัด เพราะเมื่อมารดากลืนอาหารอันร้อนจัดสัตว์ที่อยู่ในครรภ์ก็จะเป็นเหมือนอยู่ในโลหกุมภีนรก เมื่อกลืนอาหารเย็นจัดก็เป็นเหมือนอยู่ในโลกันตนรก เมื่อบริโภคอาหารที่เปรี้ยวจัด เค็มจัด เผ็ดจัด และขมจัด อวัยวะทั้งหลายของสัตว์ผู้อยู่ในครรภ์ก็มีเวทนากล้าเหมือนถูกศัสตราผ่าแล้วราดด้วยน้ำเปรี้ยวเป็นต้น ดังนั้นแม่จึงต้องเว้นในสิ่งที่อยากรับประทาน และรับประทานในสิ่งที่อยากเว้น เป็นความทุกข์แต่พร้อมที่จะรับ
เมื่อคลอดมาแล้วมารดาต้องเลี้ยงดูอีกเป็นเวลาหลายปี หากบุตรธิดาผู้เป็นสัปบุรุษ ผู้สงบ มีกตัญญูกตเวที เมื่อระลึกถึงบุรพคุณของท่าน จึงเลี้ยงมารดาบิดา ทำกิจแทนท่าน เชื่อฟังโอวาท เลี้ยงสนองพระคุณท่าน สมดังที่ท่านเป็นบุรพการี ดำรงวงศ์สกุล บุตรผู้มีศรัทธา สมบูรณ์ด้วยศีลย่อมเป็นที่สรรเสริญทั่วไป
มารดาปรารถนาให้บุตรธิดาเลี้ยงดู เชื่อฟัง ช่วยทำกิจการงาน สืบทอดมรดก และทำบุญอุทิศไปให้ อาจจะเรียกได้ว่า “ยามอยู่ให้เลี้ยงกาย ตายเลี้ยงวิญญาณ” จึงจะเรียกได้ว่าเป็นบุตรธิดาที่ดี
ผู้ที่มีความสามารถที่พอจะเลี้ยงดูมารดาได้จึงควรเลี้ยงดู เพราะเมื่อมีความสามารถแต่ไม่เลี้ยงดูจัดเป็นความเสื่อมและจัดเป็นคนเลวประเภทหนึ่งอย่างหนึ่งดังที่ปรากฎในปราภวสูตรและวสลสูตร ขุททกนิกาย สุตตนิบาต ว่าคนใดสามารถ แต่ไม่เลี้ยงมารดาหรือบิดาผู้แก่เฒ่าผ่านวัยหนุ่มสาวไปแล้ว ข้อนั้นเป็นทางของคนเสื่อม
ผู้สามารถแต่ไม่เลี้ยงมารดา หรือบิดาผู้แก่เฒ่าผ่านวัยหนุ่มสาวไปแล้ว พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย
คนที่ทำร้ายทุบตีมารดาก็เป็นคนเลวดังข้อความว่า คนผู้ทุบตีด่าว่ามารดาบิดาพี่ชายพี่สาว พ่อตาแม่ยาย แม่ผัวหรือพ่อผัว พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย