เบื้องหลังการทรงปลงอายุสังขาร
วันนี้ขอพูดถึงข้อสังเกตเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับเรื่องราวของพระพุทธองค์ ๒ เรื่องคือ เรื่องเกี่ยวกับพระพุทธประสงค์ไปดับขันธ์ปรินิพพานที่เมืองกุสินารา กับเรื่องเกี่ยวกับผลกรรมในอดีตของพระพุทธองค์ ขอว่าตามลำดับ (ถ้าไม่จบก็ขอต่อในตอนหน้า)
๑. เรื่องที่หนึ่ง เบื้องหลังพระพุทธองค์ทรง ปลงอายุสังขาร (คือตัดสินพระทัยเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน) ณ ปาวาลเจดีย์ เมืองไพศาลี แคว้นวัชชี แล้วพระพุทธองค์ตรัสเรียกประชุมสงฆ์ ณ อุปัฏฐานศาลา (โรงธรรม) ตรัสสอนให้หมั่นเจริญธรรมที่จะทำให้พรหมจรรย์ดำรงอยู่ได้นาน อันได้แก่ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘
ธรรมะเหล่านี้เนื้อหาว่าอย่างไรบ้าง อยากทราบให้เปิด พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ของพระธรรมปิฎกดูก็แล้วกัน อ้อเปิดภาคผนวกของหนังสือ วาระสุดท้ายของพระพุทธองค์ ที่สำนักพิมพ์ มติชนเผยแพร่ก็ได้
รุ่งเช้า พระพุทธองค์เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในเมืองไพศาลี มีพระอานนท์พุทธอนุชาตามเสด็จ ขณะเสด็จออกจากเมืองไพศาลีทรงยืนเอี้ยวพระศอหันไปทอดพระเนตรเมืองไพศาลี ตรัสกับพระอานนท์ว่า การเห็นเมืองไพศาลีครั้งนี้ เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว
ชาวพุทธเรียกอาการทอดพระเนตรนี้ว่า นาคาวโลก (การเหลียวดูแบบพญาช้าง , การมองอย่างช้างเหลียวหลัง) ต่อมาชาวพุทธได้สร้างพระพุทธรูปเพื่อเป็นอนุสรณ์ขึ้นชื่อว่า พระพุทธรูปปางนาคาวโลก
จากนั้นก็เสด็จไปยัง ภัณฑคาม อัมพคาม ชัมพุคาม และโภคนคร ตามลำดับ จากโภคนครก็เสด็จต่อไปยังเมืองปาวา เสวย สูกรมัททวะ ของนายจุนทะแล้วพระอาการประชวรกำเริบ ทรงข่มทุกขเวทนาไว้ เสด็จต่อไปยังเมืองกุสินารา อันเป็นสถานที่จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพาน
พระอานนท์ซึ่งตามเสด็จพระพุทธองค์ตลอดทาง ได้กราบทูลให้พระพุทธองค์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานที่เมืองใหญ่อื่น ๆ เช่น เมือง ราชคฤห์ เมืองโกสัมพี เมืองสาวัตถี แต่พระพุทธองค์ตรัสว่าพระองค์มีพุทธประสงค์จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานที่เมืองกุสินาราเป็นการเฉพาะ
เมื่อกราบทูลถามเหตุผล เหตุผลที่พระองค์ตรัสกับพระอานนท์ ฟังดูไม่น่าจะเป็นเหตุผลที่แท้จริง อาจจะมีเหตุผลอื่น ลึก ๆ อยู่ในคำตอบนั้นก็ได้ คือพระองค์ตรัสว่า ที่ไปปรินิพพานที่เมืองกิสินารา เพราะเมืองกุสินาราในอดีตกาลยาวนานโพ้นเป็นเมืองใหญ่
อานนท์ เธออย่ากลัวอย่างนี้ว่ากุสินาราเป็นเมืองเล็กเมืองดอน เมืองกิ่ง แต่ปางก่อนพระเจ้าจักรพรรดิทรงพระนามว่า มหาสุทัสสนะ ผู้ทรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม..... เมืองกุสินารานี้มีนามว่า กุสาวดีเป็นราชธานีของพระเจ้ามหาสุทัสสนะมีความยาวด้านบูรพาและประจิม ๑๒ โยชน์ โดยกว้างด้านทักษิณและอุดร ๗ โยชน์ กุสาวดีเป็นราชธานีที่มั่งคั่ง มีผู้คนแน่นหนา มีภักษาหาได้ง่าย........
สรุปแล้วเหตุผลที่ทรงมุ่งมั่นจะไปปรินิพพานที่เมืองกุสินารานี้ให้ได้เพราะเมืองนี้ในอดีตเป็นเมืองใหญ่เป็นที่ประทับของพระเจ้าจักรพรรดิ
ฟังดูแล้วไม่น่าจะเป็นเหตุผลที่แท้จริง ถ้าเอาความยิ่งใหญ่ในอดีตตัดสิน เมืองอื่น ๆ ในอดีตก็คงจะใหญ่เหมือนกัน และบางเมืองยิ่งใหญ่ทั้งในอดีตและปัจจุบันมายาวนาน เช่นเมืองพาราณสีก็น่าจะอยู่ในเกณฑ์หรือถ้าเห็นว่าเมืองพาราณสีเป็นฐานที่มั่นของพราหมณ์ เมืองอย่างเมืองไพศาลี ก็ยิ่งใหญ่มายาวนาน และเหมาะที่จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานได้
ผมก็คิดเล่น ๆ (อย่าซีเรียสนะครับ) ว่าพระพุทธองค์ทรงมีพุทธประสงค์อย่างอื่นที่มุ่งหน้าไปปรินิพพานที่เมืองกุสินารา แน่นอน ที่ตรัสบอกพระอานนท์ว่า เมืองกุสินาราเคยเป็นเมืองใหญ่ในอดีตก็เพื่อจะปลอบพระอานนท์ที่อยากให้พระองค์ไปปรินิพพานที่เมืองใหญ่ ๆ ไม่ควรปรินิพพานที่เมืองเล็กเช่นเมืองกุสินารา
พูดง่าย ๆ ก็คือ อย่าน้อยใจเลยว่าพระองค์ปรินิพพานในเมืองเล็ก ไม่สมพระเกียรติ กุสินาราถึงจะเล็กในปัจจุบัน ในอดีตก็เป็นเมืองใหญ่เหมือนกัน
เหตุผลที่แท้จริงน่าจะเป็นดังนี้
๑. เพื่อทรงสงเคราะห์พระประยุรญาติที่เมืองกุสินารา
ในพุทธประวัติไม่บอกชัดดอกว่าเมืองกุสินาราเป็นพระญาติวงศ์ของพระพุทธองค์แต่ผู้รู้หลายท่านแสดงความเห็นว่า พวกมัลลกษัตริย์น่าจะเป็นเผ่าศากยะหรือสืบมาจากเผ่าศากยะ เพราะมีระบอบการปกครองและจารีตประเพณีเหมือน ๆ กับพวกศากยะ ถ้าข้อสันนิษฐานนี้เป็นจริง ก็ไม่แปลกที่พระพุทธองค์จะ “ต้อง” เสด็จไปปรินิพพานที่เมืองของพวกเขา เพื่อทรงสงเคราะห์พวกเขาในวาระสุดท้ายของพระพุทธองค์
ในพุทธจริยา ๓ ประการนั้น จริยาทั้ง ๒ คือ โลกกัตถจริยา(ทำประโยชน์แก่ชาวโลก) พุทธัตถจริยา (ทำประโยชน์ในฐานะทรงเป็นพระพุทธเจ้า) พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญมาสมบูรณ์แล้ว แต่ญาตัตถจริยา (ทรงสงเคราะห์ญาติ) ยังไม่สมบูรณ์จนกว่าจะเสด็จไปโปรดพระญาติเมืองกุสินารา
การเสด็จไปดับขันธ์ปรินิพพานที่เมืองกุสินารา จึงเป็นการสงเคราะห์ประยุรญาติของพระพุทธองค์นั้นเอง พระญาติฝ่ายศากยวงศ์และโกลิยวงศ์ พระองค์ก็ทรงสงเคราะห์มาหมดแล้ว ยังเหลือแต่พระญาติที่เมืองกุสินารา ซึ่งจะต้องทรงสงเคราะห์เป็นครั้งสุดท้าย
เหล่ามัลลกษัตริย์จะได้มีโอกาสถวายพุทธบูชา ด้วยการจัดงานถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ และได้ทำบุญกิริยาอย่างอื่น เช่น ถวายทานแก่พระสงฆ์จำนวนมากที่หลั่งไหลมาในงานนี้
เมืองเล็ก ๆแต่ได้มีโอกาสเป็นเจ้าภาพจัดงานถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ ย่อมมีความสำคัญ และเป็นที่เกรงขามของเมืองใหญ่ ๆ ไม่บันเบา เพราะต่างก็รู้ว่า กุสินารา เป็นเมืองที่พระพุทธองค์ ทรงเลือกแล้ว
๒. อีกเหตุผลหนึ่ง ถ้าพระพุทธองค์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานในเมืองใหญ่ เช่น ราชคฤห์ เมืองสาวัตถี กษัตริย์เมืองใหญ่นั้น ๆ จะต้องถือสิทธิ์เป็นเจ้าของพระบรมสารีริกธาตุ ของพระองค์เพียงผู้เดียว เมืองอื่นที่เคารพนับถือพระพุทธองค์ หรือที่เป็นพระประยุรญาติของพระองค์คงไม่มีโอกาสได้ส่วนแบ่งพระบรมสารีริกธาตุไปบูชาแน่นอน
แต่เมื่อพระองค์ไปปรินิพพานที่เมืองกุสินาราซึ่งเป็นเมืองเล็กโอกาสที่พระบรมสารีริกธาตุของพระองค์จะได้รับการแจกแบ่งไปยังเมืองต่าง ๆ เพื่อสักการบูชา ย่อมมีความเป็นไปได้มาก และเป็นไปได้ง่าย เพราะเมืองเล็กย่อมไม่สามารถขัดขืน หรือหวงพระบรมสารีริกธาตุไว้สำหรับตนแต่ฝ่ายเดียว
การเสด็จไปปรินิพพานที่เมืองกุสินารา จึงไม่เป็นเพียงเพื่อสงเคราะห์เหล่ามัลลกษัตริย์เมืองกุสินาราเท่านั้น จากได้สงเคราะห์เมืองใหญ่น้อยอื่น ๆ อีกด้วย ถ้าพูดแบบภาษาชาวบ้านก็ขอยืมพังเพยไทยมาพูดว่า ยิงปืนนัดเดียว ได้นกสองตัว นั้นแล
ข้อสังเกตของผมฟังได้ไหมครับ ฟังไม่ได้ก็ไม่ต้องฟังลืม ๆ ไปเสีย ส่วนประเด็นที่สองเอาไว้พูดถึงคราวหน้าก็แล้วกัน
**************************************************************************
ข้อมูลที่ใช้ในการเรียบเรียง : บางแง่มุมเกี่ยวกับพระพุทธองค์
โดย ศาสตราจารย์พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต
.............................................
อ่านบทความทั้งหมดได้ที่ http://khunsamatha.com/
พุดคุยสนทนาธรรมในประเด็นต่างๆ กันได้ที่ห้องสนทนา http://forums.212cafe.com/samatha/
ไม่มีความเห็น