พระรัตนตรัยในฐานะเครื่องนำเข้าสู่มรรคและเป็นที่รวมของการปฏิบัติตามมรรค
หลักยึดเหนี่ยวเบื้องต้นของชาวพุทธ คือ พระรัตนตรัย อันได้แก่ พระพุทธเจ้า พระธรรม และ พระสงฆ์ ตามปกติจึงถือเอา สรณคมน์ คือ การถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะว่าเป็นเครื่องหมายของการเป็นพุทธศาสนิกชน และความเป็นอุบาสกอุบาสิกา แม้แต่พระโสดาบัน ก็มีคุณสมบัติอย่างหนึ่งว่า เป็นผู้มีศรัทธาตั้งมั่นไมหวั่นไหวในพระรัตนตรัย จึงเป็นข้อที่น่าศึกษาว่า ความเคารพนับถือพระรัตนตรัยเป็นข้อปฏิบัติ ณ ส่วนใด อยู่ที่จุดไหนในการดำเนินตามมรรคหรือมัชฌิมาปฏิปทา
ความเคารพนับถือพระรัตนตรัย ที่แสดงออกด้วยสรณคมน์สำหรับคนทั่วไปก็ดี ความมีศรัทธาตั้งมั่นไม่หวั่นไหวในพระรัตนตรัยของพระโสดาบัน ก็ดี เป็นเครื่องแสดงให้เห็นชัดแล้วว่า คุณธรรมที่เด่นสำหรับพุทธศาสนิกชนในระดับเบื้องต้นนี้ทั้งหมดได้แก่ ศรัทธา
เมื่อพิจารณาในระบบแห่งมัชฌิมาปฏิปทาเท่าที่อธิบายมาแล้วจะเห็นได้ว่า ศรัทธาอยู่ ณ ส่วนบุพภาคแห่งมัชฌิมาปฏิปทา โดยเฉพาะเป็นตัวเชื่อมบุคคลกับกัลยาณมิตรหรือปรโตโฆสะที่ดี และมุ่งที่จะให้โยงไปสู่โยนิโสมนสิการ โดยมีสาระสำคัญว่าให้เป็นศรัทธาที่นำไปสู่ปัญญา คือ ช่วยให้เกิดสัมมาทิฏฐิ ซึ่งเป็นองค์มรรคข้อแรก นำเข้าสู่มรรคหรือมัชฌิมาปฏิปทาต่อไป
หลักนี้ แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างพระรัตนตรัยเป็นเครื่องนำเข้าสู่มรรค นับว่าชัดเจนพอสมควรอยู่แล้ว แต่เพื่อให้หนักแน่นขึ้น ควรพิจารณาตามหลัก องค์คุณของพระโสดาบัน (โสดาปัตติยังคะ) หรือ ธรรมที่เป็นไปเพื่อความเจริญแห่งปัญญา (ปัญญาวุฒิธรรม) ๔ ประการคือ
๑. สัปปุริสสังเสวะ การเสวนาสัตบุรุษ การคบหาคนดี
๒. สัทธรรมสวนะ การสดับสัทธรรม การฟังหรือเรียนรู้ธรรมที่ถูกแท้
๓. โยนิโสมนสิการ การทำในใจโดยแยบคาย การใช้ความคิดถูกวิธี การรู้จักคิด
๔. ธรรมานุธรรมปฏิบัติ การปฏิบัติธรรมย่อมคล้อยแก่ธรรมใหญ่ การปฏิบัติธรรมถูกหลัก
ความจริงธรรมหมวดนี้มีชื่อเรียกอีกหลายอย่าง เฉพาะอย่างยิ่งชื่อว่า ธรรมที่เป็นไปเพื่อ
ประจักษ์แจ้งโสดาปัตติผล จนถึงอรหัตตผล ดังพุทธพจน์ว่า
“ภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ อย่างเหล่านี้ เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไป เพื่อประจักษ์แจ้งโสดาปัตติผล ....เพื่อประจักษ์แจ้งสกทาคามิผล .... เพื่อประจักษ์แจ้งอนาคามิผล ... เพื่อประจักษ์แจ้งอรหัตตผล; ๔ อย่างอะไรบ้าง ? ได้แก่ สัปปุริสสังเสวะ สัทธรรมเสวนะ โยนิโสมนสิการ ธรรมานุธรรมปฏิบัติ.....”
การเสวนาสัตบุรุษ ก็คือการมีกัลยาณมิตร สัตบุรุษ และกัลยาณมิตรอย่างสูงสุด ก็คือ พระพุทธเจ้า
การเสวนาสัตบุรุษ หรือการมีกัลยาณมิตร นำไปสู่ปรโตโฆสะที่ดี คือ การได้สดับหรือเรียนรู้สัทธรรม อันได้แก่ หลักความจริงและความดีงามที่แท้ เรียกง่าย ๆ ว่า พระธรรม
โยนิโสมนสิการต่อพระธรรมและตามพระธรรมนั้น ทำให้เกิดกุศลธรรมและปัญญาที่เข้าใจสิ่งทั้งหลายถูกต้องตามเป็นจริงพร้อมทั้งทำให้ปฏิบัติธรรมถูกต้องตามหลักตามความมุ่งหมาย เมื่อปฏิบัติถูกหลัก ก็ทำให้บรรลุผล คือประจักษ์แจ้งโสดาปัตติผลเป็นต้น ตลอดจนถึงอรหัตตผล ผู้ที่ปฏิบัติเพื่อบรรลุโสดาปัตติผลขึ้นไป จนถึงผู้บรรลุอรหัตตผลคือพระอรหันต์ เป็นสมาชิกทั้งหลายผู้ประกอบกันเข้าเป็นชุมชนพุทธแท้ เรียกว่าสาวกสงฆ์หรืออริยสงฆ์ซึ่งจัดเป็นสงฆ์หรือ พระสงฆ์ ในพระรัตนตรัย
โดยนัยนี้ เมื่อพิจารณากิจที่ชาวพุทธพึงปฏิบัติต่อพระรัตนตรัยในการดำเนินตามมัชฌิมาปฏิปทา ก็มองเห็นได้ชัดว่า เบื้องแรกรับเอาพระพุทธเจ้าเป็นกัลยาณมิตร แล้วสดับเล่าเรียนธรรมคำสอนของพระองค์ จากนั้นปฏิบัติต่อธรรมด้วยโยนิโสมนสิการ รวมครบ ๒ ขั้นตอนเบื้องต้นที่เรียกว่า บุพภาคแห่งมัชฌิมาปฏิปทา เป็นปัจจัยแห่งสัมมาทิฏฐิ เกิดความเห็นความเข้าใจถูกต้องตามเป็นจริงจึงปฏิบัติธรรมนั้นต่อไปอย่างถูกหลัก เป็นธรรมานุธรรมปฏิบัติคือดำเนินในตัวมรรคหรือมัชฌิมาปฏิปทา จนสำเร็จได้รับอริยผลเป็นอริยบุคคลแล้วร่วมเป็นสมาชิกแห่งพระสงฆ์ และในฐานะเป็นอริยบุคคลในสงฆ์นั้น ก็สามารถช่วยเหลือผู้อื่น โดยทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรระดับรองลงมาจากพระพุทธเจ้าได้ต่อ ๆ ไป พร้อมนั้นสงฆ์ก็เป็นชุมชนหรือสังคมแบบอย่างที่รวมของผู้ปฏิบัติตามและผู้ได้รับผลจากหลักแห่งการมีพุทธกัลยาณมิตร และการดำเนินตามธรรมมรรคากับทั้งเป็นแหล่งแห่งกัลยาณมิตร เป็นบุญเขตที่เจริญงอกงามและเผยแพร่ความดีงามแก่ชาวโลก
อนึ่ง การมีสงฆ์เป็นหลักหนึ่งอยู่ในพระรัตนตรัย เป็นเครื่องแสดงด้วยว่า พระพุทธศาสนาถือว่า มนุษย์ที่ดีงามย่อมเกี่ยวข้องมีส่วนร่วมอยู่ในชุมชนหรือสังคม ชุมชนหรือสังคมที่ถือเป็นหลักเรียกได้ว่าสงฆ์นี้ ทางด้านภายในจิตใจสมาชิกทั้งหลายมีภูมิธรรมที่ได้บรรลุเป็นเครื่องธำรงรักษา ส่วนทางด้านการดำเนินชีวิต ภายนอกเครื่องธำรงรักษาได้แก่ วินัย ความสามัคคี และความเป็นกัลยาณมิตรต่อกัน
โดยสรุป หลักการปฏิบัติเพื่อบรรลุโสดาปัตติผล กับการดำเนินตามมัชฌิมาปฏิปทา และหลักพระรัตนตรัย เทียบกันได้ดังนี้
๑. สัปปุริสสังเสวะ มีกัลยาณมิตร พระพุทธเจ้า (ระดับสูงสุด)
๒. สัทธรรมสวนะ ปรโตโฆสะที่ดี พระธรรม
๓. โยนิโสมนสิการ โยนิโสมนสิการ (กิจต่อพระธรรม)
๔. ธรรมานุธรรมปฏิบัติ เดินในมรรค เข้าร่วมสงฆ์
--->> จากความที่กล่าวมา พอแสดงความหมายของพระรัตนตรัยอย่างรวบรัดได้ดังนี้
๑. พระพุทธเจ้า คือ ท่านผู้ได้ตรัสรู้ธรรม ค้นพบมรรคาแล้วบำเพ็ญตนเป็นกัลยาณมิตรองค์เอก ทรงสั่งสอนธรรม ชี้นำมรรคานั้นแก่ชาวโลก และเป็นแบบอย่างที่ยืนยันถึงความดีงามความสามารถสูงสุดที่ฝึกขึ้นได้ในมนุษย์
๒. พระธรรม คือ หลักความจริง หลักความดีงาม ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ และทรงแนะนำสั่งสอน ซึ่งผู้ศรัทธาพึงเรียนสดับรับเอามาพิจารณาด้วยโยนิโสมนสิการ ให้เข้าใจถูกต้องตามจริง เพื่อจะปฏิบัติให้เป็นมรรค และให้สำเร็จผลต่อไป
๓. พระสงฆ์ คือ หมู่ชนผู้ปฏิบัติตามมรรค และผู้สำเร็จผลซึ่งศรัทธามั่นใจว่าเป็นหมู่ชน หรือสังคมอันประเสริฐ ซึ่งควรสร้างสรรค์ให้เกิดมีขึ้น และซึ่งตนสามารถมีส่วนร่วมได้ ด้วยการปฏิบัติตามมรรคและการสำเร็จผลนั้น เริ่มด้วยการปฏิบัติตามลักษณะแบบอย่างที่ปรากฏภายนอก คือ วินัย ความสามัคคี และความเป็นกัลยาณมิตรต่อกัน ความมีกัลยาณมิตรก็ดี การโยนิโสมนสิการก็ดี การปฏิบัติตามมรรคก็ดี จะเจริญงอกงามได้ผลดี ในสังคมที่ดำเนินตามคติแห่งสงฆ์นี้
พระรัตนตรัยเป็นสรณะ คือ เมื่อระลึกถึงพระรัตนตรัยก็เตือนให้ใช้วิธีที่ถูกต้องในการแห้ปัญหาดับทุกข์ คือ ทำตามหลักอริยสัจจ์ อย่างน้อยก็ทำให้หยุดยั้งจากความชั่ว มั่นใจที่จะทำดีหายหวาดกลัว และจิตใจผ่องใส ในเวลานั้น ๆ
ไม่มีความเห็น