ไม่มี ทิฏฐิสามัญญตา ความเห็นจึงแตกต่าง เกิดเป็นรอยร้าวขึ้นในพุทธศาสนา
กล่าวสำหรับพระพุทธศาสนา ถ้าเราจะสอบสวนถึงต้นรากแห่งการมีนิกายแล้ว ก็ไม่อาจที่จะลืมนึกถึงหลักใหญ่ๆ สามหลักที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้ นั่นคือ
1. หลักของการศึกษาเล่าเรียนให้เกิดความรู้ เรียกว่าปริยัติหนึ่ง
2. หลักของการกระทำตนให้ดำเนินตามธรรมที่ตนรู้ เรียกว่าปฏิบัติหนึ่ง
3. และผลที่ได้รับจาการปฏิบัติที่เรียกว่าปฏิเวธอีกหนึ่ง
หลักสามประการนี้มีความสำคัญเกี่ยวโยงกันอยู่ คือ
ปริยัติเปรียบดังแผนที่ชี้ทางที่จะให้ถึงแหล่งขุมทรัพย์
ปฏิบัติเปรียบการเดินทางออกค้นหาขุมทรัพย์นั้นตามแผนที่
ปฏิเวธเหมือนการเดินทางถึงที่หมาย
ขาดหลักใดหลักหนึ่งความสำเร็จผลย่อมมีหาได้ไม่
การที่มีนิกายความเห็นแตกต่างกันออกไปนั้น ก็เป็นเพราะความบกพร่องขาดหลักใดหลักหนึ่งไป และที่สำคัญอย่างยิ่งคือ ได้ขาดหลักประการที่สาม “ปฏิเวธธรรม” ไปเสีย
เราจะพิจารณาสังเกตเห็นได้ว่า ปางเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงพระชนม์สั่งสอนเวไนยนิกรอยู่ ปรากฏมีผู้บรรลุถึงอริยภาพ คือมีผู้ตรัสรู้ธรรมกันมากมาย
การปริยัติและปฏิบัติดำเนินร่วมกันในทางเดียว อริยมรรคเมื่อมีผู้เจริญกันอริยผลก็บังเกิดเป็นเงาตามตัว
เมื่อต่างคนต่างได้ชมเชยอริยผลนั้นด้วยตนของตนเองแล้ว ทรรศนะคือความเห็นก็ย่อมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
-->> แต่เมื่อพ้นยุคนี้มาแล้ว กลับปรากฏว่าอริยมรรคเป็นแต่เพียงเรื่องปรัชญา อันน่าเรียนน่ารู้ที่บรรจุอยู่ในพระคัมภีร์เท่านั้น
จะหาผู้มุ่งปฏิบัติตนอย่างสมัยแรกได้น้อยลง ทุกคนส่วนมากมุ่งกันแต่จะเรียน และจำทรงพระพุทธพจน์กันเป็นปิฎก ๆ อริยผลจึงไม่ค่อยเกิดขึ้น
เมื่อผู้ทรงศาสนามิได้เป็นพระอริยะ และเมื่อความคิดในการปริยัติเฟื่องฟูขึ้นถึงขีดสุด จนบางทีกลายไปเป็นลัทธิแปลกๆ มีสัทธรรมปฏิรูปเข้ามาเจือปน ผู้ร่ำเรียนก็ตีความหมายตลอดจนอรรถาธิบายสัจธรรมด้วยปุถุชนอัตโนมัติ
ความคิดความเห็นของคนแต่ละคนที่มีต่อคัมภีร์อันตนได้ร่ำเรียนนั้นแตกแยกออกเป็นมติ
ต่างคนต่างเข้าใจอย่างหนึ่ง อีกคนหนึ่งเข้าใจไปอีกอย่างหนึ่งไม่ตรงกัน
และต่างฝ่ายก็ยึดถือมติของตนว่าถูกต้องของผู้อื่นผิด
เพราะปุถุชนเรานั้นมักเข้าข้างตนเองเสมอโดยมิใคร่จะคำนึงถึงเหตุผลอะไรนักและเมื่อตนถือมติใด ก็อดไม่ได้ที่จะมีการวิพากษ์วิจารณ์เปรียบเทียบกับมติของฝ่ายอื่น จึงได้มีการโต้วาทะระหว่างกันและกันว่าใครจะดีกว่าใคร หนักเข้าก็เลยแตกสามัคคี
แล้วนิกายก็เป็นเงาตามเข้ามาทันที เรื่องเช่นนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชมพูทวีปแล้ว มักมีการคัดค้านโต้คารมกันในข้อธรรมอย่างเอาจริง บางทีถึงกับวางชีวิตของตนไว้เป็นเดิมพัน ว่าถ้าหากแพ้แล้วจักยอมให้บั่นเศียรหรือเป็นข้าทาสตลอดชีพ
ประชาชนตลอดจนพระราชาก็นิยมการใช้เหตุผลเอาแพ้เอาชนะกันด้วยวิธีตีฝีปากเช่นนี้ ปรากฏว่าถ้าคณาจารย์ใดพ่ายแพ้ในสงครามโอษฐ์ ลัทธิของคณาจารย์ผู้นั้นก็พลอยอับแสงลง เพราะพระราชาและประชาชนไม่เคารพนับถือ บางทีถูกขับไล่ไสส่งออกนอกบ้านเมืองเลยทีเดียว
เมื่อสถานการณ์แวดล้อมเป็นเช่นนี้ ก็ย่อมจะมีการวิพากษ์วิจารณ์ความคิดของกันและกัน
ซึ่งแม้จะเป็นลัทธิศาสนาเดียวกันก็ตาม ให้เป็นไปอย่างไม่หยุดยั้ง
ต่างฝ่ายต่างพยายามยกลัทธิของตนให้สูงส่งเด่นด้วยวิธีนานัปการ ฉะนั้นการโต้คารมเพื่อทำลายมติฝ่ายค้านจึงยากที่จะหลบหลีกได้ และพระพุทธศาสนาในอินเดียยุคหลังจึงได้สมบูรณ์ด้วยเรื่องทำนองนี้ทุกประการ
>>> จะยกตัวอย่างให้เห็นในข้อแตกต่างทางมติเกี่ยวกับปัญหาเรื่องนิพพานและจิตต์ภายในวงการพระพุทธศาสนาของสยามซึ่งเป็นฝ่ายเถรวาทล้วนๆ แต่ก็ยังมีความเห็นไม่สอดคล้องต้องกันได้
นักธรรมะบางพวกเห็นว่านิพพานเป็นอนัตตา ซึ่งทั้งนี้อาศัยพระพุทธภาษิตข้อว่า สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัวตนเป็นข้ออ้าง
บางพวกเห็นว่าที่พระพุทธเจ้าสอนอนัตตาก็เพื่อจะให้เรารู้จักอัตตานั่นเอง แต่อัตตาที่นี้ไม่ใช่อัตตาขันธ์ห้า ขันธ์ห้าเป็นอนัตตา ส่วนธรรมของจริง คือพระนิพพานนั้นเป็นอัตตาตัวจริงของเรา มีพระพุทธภาษิตเป็นหลักฐานว่า อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้าไม่มีตนเสียแล้ว เหตุไรพระองค์จึงสอนให้เอาตนเป็นที่พึ่งเล่า ?
บางพวกเห็นว่าจิตต์นี้เป็นธรรมชาติเกิดเร็วดับเร็วไม่มีแก่นสาร
อีกพวกหนึ่งเห็นว่าจิตต์แท้นั้นเป็นธรรมชาติไม่เกิดดับ ที่เกิดดับเป็นอารมณ์ต่างหาก
-->> แต่ละฝ่ายล้วนมีเหตุผล ซึ่งอาจแสดงให้เห็นชัดด้วยกันทั้งนั้น และแต่ละฝ่ายก็อ้างพระพุทธภาษิตเป็นหลัก
ตัวอย่างนี้ล้วนเป็นมูลของการแตกแยกนิกาย ซึ่งถ้าเป็นสมัยโบราณเจ้าของผู้ให้กำเนิดแต่ละฝ่ายอยากจะตั้งเป็นนิกายขึ้นก็อาจจะได้
และพระพุทธศาสนาในเมืองเราก็จะมี
นิกายอนฺตตานิพฺพานวาท
นิกายอตฺตานิพฺพานวาท
และนิกายจิตฺตอนิจฺจวาท
นิกายจิตฺตอมตวาทกันขึ้นบ้างเป็นแน่
-->> เรื่องเช่นนี้แม้ในสมัยพุทธกาลก็เหมือนกัน ดังในสุตตันตปิฎกปรากฏมีภิกษุบางรูป มีความเห็นในพระธรรมตามความเข้าใจของตนผิดๆ หรือถูกแต่ก็ไปถือรั้นเอาข้างเดียว
เช่นพระยมกะที่มีทิฏฐิเห็นว่า พระอรหันต์ตายแล้วสูญ จนพระสารีบุตรต้องเทศนาให้กลับใจ
และพระสาติเกวัฏฏบุตรผู้กล่าวว่า “เรารู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว อย่างนั้น โดยความว่า “วิญญาณนี้นั่นเองมิใช่อื่นวิ่งไปแล่นไป” จนพระศาสดาต้องแสดงมหาตัณหาสังขยสูตร แก้ความเข้าใจผิดของเธอ
-->> บางองค์สดับเรื่องมรณัสสติกัมมัฏฐาน ซึ่งมีจุดประสงค์ที่จะให้เรามีสติไม่หลงมัวเมาในชีวิต แต่กลับเข้าใจผิดไปว่าสอนให้เบื่อหน่ายต่อชีวิต ถึงกับกระทำอัตตวินิบาตกรรม และจ้างให้เขาประหารชีวิตตนเองก็มี
-->> ธรรมะบางข้อที่พระพุทธเจ้าแสดง โดยจำแนกบ้าง โดยรวบยอดบ้าง แต่ผู้สดับไม่อาจกระทำการแบ่งแยกให้ดี บางครั้งเกิดความไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน
ดั่งในพหุเวทนิยสูตรแห่งมัชฌิมนิกาย ท่านอุทายีกล่าวว่า พระศาสดาตรัสสอนเวทนาไว้ ๓ ประการ คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา และอุเบกขาเวทนา
แต่ช่างไม้กล่าวค้านว่า พระผู้มีพระภาคไม่ได้ตรัสเวทนา ๓ ประการเลย พระองค์ตรัส ๒ เท่านั้น คือสุขเวทนาและทุกขเวทนา ส่วนอุเบกขาเวทนานั้นสงเคราะห์ลงในสุขอันละเอียดประณีต
ภายหลังความทราบไปถึงพระศาสดาตรัสว่า เรื่องเวทนานั้นเราได้แสดงไว้โดยปริยายต่างๆ บางทีก็มีสอง สาม ห้า สิบแปด สามสิบหก จนถึงร้อยแปดประการ ผู้ที่ไม่สำเหนียกก็ต้องทะเลาะวิวาทกันอย่างนี้
-->> ในอภิธรรมปิฎกเหตุปัจจัยนิทานของฝ่ายเหนือมีเรื่องหนึ่งว่า กาลครั้งหนึ่งพระอานนท์ได้เดินทางจาริกถึงป่าไผ่แห่งหนึ่ง
พระผู้เป็นเจ้าได้สลับเสียงสาธยายพระธรรมบทคาถา ของภิกษุที่อาศัยในป่าว่า “มนุษย์แม้มีอายุได้ร้อยปี หากไม่ได้เห็นนกหงส์ทะเลไซร้(ก็เปล่าปราศจากประโยชน์) ผิดกับที่ถึงแม้มีชีวิตแต่เพียงวันเดียวหากได้เห็นนกนั้น (ประโยชน์ของชีวิตจึงจะได้)”
ท่านอานนท์ได้ฟังดังนั้นจึงเข้าไปทักภิกษุผู้สวดนั้นว่า “นี้หาใช่พระพุทธภาษิต เธอจงมนสิการตั้งใจให้ดี เราจักกล่าว(ที่ถูก)ให้เธอฟัง “ถ้ามนุษย์มีอายุถึงร้อยปี แต่ไม่รอบรู้ในธรรมที่เกิดแลดับไซร้ (ก็เปล่าประโยชน์) ผิดกับที่ถึงแม้มีชีวิตแต่เพียงวันเดียว หากได้รอบรู้ในธรรมนั้น”
ภิกษุผู้สวดได้ฟังแล้วก็นำไปบอกเล่าให้อาจารย์ของตนฟัง ภิกษุผู้อาจารย์รูปนั้นได้ฟังแล้วกล่าวว่า “พระอานนท์เป็นผู้ล่วงกาลผ่านวัยแล้ว คำพูดอะไรๆ ของท่านก็มักผิด ๆ พลาด ๆ ไม่ควรจะเชื่อถือ เธอจงสวดไปตามเดิมของเธอเถิด”
-->> ที่เกี่ยวกับพระวินัยก็มีผู้ตีความผิดไปจากประสงค์เดิม
เช่นเรื่องวิกาลโภชน์ ในกิฏาคิรีสูตรแห่งมัชฌิมปัณณาสก์เล่าว่า ภิกษุผู้ชื่ออัสสชิและปุนัพพสุกะ เกิดทิฏฐิวิปริตเข้าใจ คำว่าวิกาลหมายแต่เพียงราตรี
แล้วแนะนำพวกทั้งคณะให้ฉันอาหารได้ในเวลาเย็น กล่าวสรรเสริญความเป็นผู้ฉันอาหารมื้อที่สามว่า สามารถทำให้เป็นผู้มีร่างกาย แข็งแรง โรคน้อย สุขสำราญ พวกภิกษุอื่นกล่าวตักเตือนก็ไม่ฟัง
ภายหลังทราบไปถึงพระศาสดาก็ทรงบริภาษว่าไม่ควรจะเข้าใจไปเช่นนั้น แล้วทรงแสดงธรรมบรรยายโปรด
-->> ในสังยุตตนิกายเล่าว่า สมัยหนึ่ง ณ นครราชคฤห์ขณะที่มีการประชุมประชาชนกันในราชบริษัทอยู่ ได้มีคำกล่าวขึ้นในที่ประชุมว่า
ทองและเงินควรแก่สมณศากยบุตร สมัยนั้นมีพ่อค้าบ้านมณิจูฬกะผู้เป็นอุบาสกสำคัญนั่งอยู่ด้วย ได้กล่าวคัดค้านขึ้น แต่ไม่สามารถยังบริษัทให้ยินยอมเห็นตามได้
ภายหลังนายบ้านผู้นั้นได้เข้าเฝ้ากราบทูลอธิกรณ์เหตุแด่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ปัญจกามคุณควรแก่ผู้ใด เงินทองก็ควรแก่ผู้นั้น เรากล่าวอย่างนี้ว่า ผู้ต้องการหญ้าพึงแสวงหาหญ้า ผู้ต้องการไม้พึงแสวงหาไม้ แต่มิได้กล่าวว่าสมณศากยบุตรพึงยินดี พึงแสวงหาเงินทองโดยปริยายอะไรๆ เลย
-->> จากเหตุการณ์เหล่านี้ก็เป็นหลักฐานที่แสดงให้รู้ว่า แม้ในสมัยพุทธกาลพุทธศาสนิกมณฑล ก็ได้มีการแตกแยกความเห็นกันขึ้นแล้ว
แม้ในนครราชคฤห์อันปรากฏว่าเป็นเมืองที่ประชาชนล้วนแล้วแต่เป็นสัมมาทิฏฐิเองก็ตาม แต่การที่แตกแยกเท่านั้นเป็นไปในทางความเห็นส่วนตนที่เข้าใจผิดในธรรมวินัยบางข้อเท่านั้น
และเพราะเหตุที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคยังทรงพระชนม์ประทับเป็นประธานคอยตัดสินความถูกผิดอยู่ จึงไม่ปรากฏมีนิกายอะไรแตกต่างผิดแผกออกไปอย่างโจ่งแจ้ง
-->> ถ้าจะมีก็เห็นจะได้แก่พวกของพระเทวทัตเท่านั้น แต่นั่นก็ดูเหมือนจะแยกออกไปเพื่อตั้งตนเป็นศาสดาแข่งกับพระพุทธเจ้า (ในตำราฝรั่งว่าพวกพระเทวทัตบูชาแต่พระพุทธเจ้าที่ล่วงแล้วสามองค์ ไม่บูชาพระศากยมุนี) และมาภายหลังพระเทวทัตและพวกก็กลับตัวได้หันเข้ามาสู่ใต้บารมีของพระพุทธองค์อีก...
*************************************************************
ข้อมูลจาก หนังสือ “ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา” โดยอาจารย์ เสถียร โพธินันทะ
ไม่มีความเห็น