เรื่อง และที่มา ปริศนาพยากรณ์ " ถิ่นกาขาว "


ท่านฤาษีลิงดำ ท่านเคยกล่าวเอาไว้ว่า

เรื่อง และที่มา ปริศนาพยากรณ์ " ถิ่นกาขาว "


เรื่อง ปริศนาพยากรณ์ ๑๐ รัชกาลนี้ ในบรรดาสานุศิษย์ของพระเดชพระคุณพระราชพรหมยานเถระ (มหาวีระ ถาวโร) หรือที่รู้จักกันในนาม "หลวงพ่อฤาษีลิงดำ" ศิษย์เอกองค์หนึ่งของหลวงพ่อปานวัดบางนมโค อยุธยา ซึ่งปัจจุบันท่านได้มรณภาพไปแล้ว สรีระไม่เน่าเปื่อย บรรจุอยู่ในโลงแก้ว ณ พระวิหารวัดท่าซุงจ.อุทัยธานี คงจะได้ยินได้ฟังมาอีกแบบหนึ่งถึงที่มาของคำปริศนาพยากรณ์ กล่าวคือในสมัยที่พระคุณท่านยังดำรงสังขารอยู่ได้เล่าให้ศิษยานุศิษย์ฟังดัง นี้

"ในสมัยที่อาตมา (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) อยู่กับหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ปีนั้นจำได้ว่าเป็นปี พ.ศ. ๒๔๘๐ หลวงพ่อปานไม่อยู่ อาตมาเป็นนักค้นแล้วก็คว้าด้วย ท่านวางอะไรไว้ที่ไหนไม่มีใครเขากล้าหยิบ แต่อาตมาคนเดียวกล้าหยิบ สันดานมันเลว เป็นลิงนี่จะให้มันเรียบร้อยได้อย่างไร ค้นไปค้นมาในกุฏิหลวงพ่อปานแล้วก็พบสมุดข่อย เป็นคำพยากรณ์ของพระอรหันต์สมัยกรุงศรีอยุธยา พยากรณ์ไว้ตั้งแต่กรุงเทพยังไม่ปรากฏ แต่สมุดข่อยนั้นเก่า ขาดกระรุ่งกระริ่ง ข้อความก็ขาด จึงไปกราบเรียนถามหลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานท่านก็บอกว่า เดิมหนังสือเล่มนี้เป็นสมบัติของหลวงปู่คล้าย แต่ทว่ามันเก่าเต็มทีก็เลยจ้างเขาเขียนไว้ในสมุดข่อยอีกเล่มหนึ่ง

แล้ว หลวงพ่อปานก็สั่งให้ไปหยิบหนังสือเล่มนั้นจากกุฏิของท่านซึ่งซุกไว้ใต้ตู้ นาฬิกา เอาผ้าสีแดงห่อไว้อย่างดีเหมือนกับจะเตรียมไว้ให้เจ้าลิงอ่าน เมื่อเปิดผ้าออกดูแล้วปรากฎว่าหนังสือเล่มนั้นดูราวกับว่าจะมีอายุสัก ๓๐ ปีเศษ ๆ ตัวหนังสืออ่านง่าย เป็นคำทำนายของหลวงพ่อใย ซึ่งเป็นพระอรหันต์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้พยากรณ์กรุงเทพมหานครซึ่งจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้าและกล่าวถึงพระเจ้าแผ่น ดินของกรุงเทพมหานครไว้ด้วยดังนี้

๑.มหากาฬผ่านมหายักษ์
๒.รู้จักธรรม
๓.จำต้องคิด
๔.สนิทธรรม
๕.จำแขนขาด
๖.ราษฏร์ราชาโจร
๗.นั่งทนทุกข์
๘.ยุคทมิฬ
๙.ถิ่นกาขาว
๑๐.ชาววิไล

รัชกาล ที่ ๑ มหากาฬผ่านมหายักษ์ หมายถึง สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกผ่านพระเจ้าตากสินไม่ใช่ฆ่า ตามประวัติศาสตร์บอกว่า พระเจ้าตากสินถูกรัชกาลที่ ๑ สั่งปลงพระชนม์ โดยใส่กระสอบแล้วเอาท่อนจันทน์ทุบให้ตายนั้น อันนี้อาตมาเห็นทีจะต้องยอมรับ อาตมานะรับรองว่าคำสั่งก็ต้องเป็นคำสั่งจริง ๆ ประหารก็ต้องประหารจริง ๆ แต่ว่าคนที่ตายนั้นไม่ใช่พระเจ้าตากสิน เป็นคนอื่นเขาตายแทน แล้วพระเจ้าตากสินไปทางไหน ทำไมจึงต้องทำกันอย่างนั้น นี่เป็นเรื่องของการเมือง พระเจ้าตากสินทรงกู้ชาติสมัยที่กรุงศรีอยุธยาแตกในคราวนั้นได้ตีฟันฝ่าข้า ศึกออกมา จะเอาเงินที่ไหนออกมาแล้วในระหว่างกู้ชาติ จะเอาเงินทองที่ไหนมา การบริหารประเทศต้องใช้เงิน นั่งคิดดูซิความลำบากของพระเจ้าตากสินมีเพียงใด

เรื่องนี้มันต้อง มีการกู้การยืมกัน อาตมาพูดเท่านี้แหละ แต่ขอยืนยันว่าพระเจ้าตากสินไม่ได้ตาย ขอให้นักประวัติศาสตร์สืบค้นกันให้ดี แล้วจะพบจุดสำคัญของประวัติศาสตร์ จะหาว่าพระราชวงศ์จักรีเป็นกบฏต่อพระเจ้าตากสินแล้วขึ้นเถลิงราชย์ไม่ได้ เพราะเป็นพระราชประสงค์ของพระเจ้าตากสินเอง เพื่อหวังจะให้ชาติไทยอยู่รอด ทรงความเป็นชาติไทยต่อไป และเพราะอะไรพระองค์จึงไม่ทรงสละราชสมบัติเฉย ๆ นั่นเป็นเรื่องของการเมือง ทำไม่ได้ พระเจ้าตากสินมหาราชไม่ใช่เป็นกษัตริย์ที่มีความโง่ไม่รู้เท่าทันคน ถ้าพระองค์มีความโง่ไม่รู้เท่าทันคนแล้ว จะทรงกู้ชาติได้อย่างไรภายในปีเดียว ขอให้ท่านพุทธบริษัททั้งหลายช่วยกันพิจารณาด้วยปัญญาที่แท้จริง เอาระบบการเมืองเข้ามาเทียบเคียงกับความจริง แล้วจะทราบความจริงต่อไปในวันข้างหน้า เอากันแค่นี้ก็พอ

รัชกาลที่ ๒ รู้จักธรรม ให้พระสงฆ์ทั้งหลายค้นคว้าพระธรรมวินัยกันใหญ่ ยุคฟื่นฟู ศิลปวัฒนธรรมฯ

รัชกาล ที่ ๓ จำต้องคิด พระองค์ทรงคิดหนัก ช่วงนั้น ตต.เริ่มล่าอนาณิคม อุตสาห์ช่วยอังกฤษ ยึดพม่า หวัง มะริด,ตะนาวศรี คืน อังกฤษโกง จึงรับสั่งว่าให้ระวังภัยทางทะเล ก่อนจะสวรรคตทรงมีลายพระหัตถ์ กันเงินท้องพระคลังไส่ไว้ในถุงแดง เรียกเงินถุงแดง บอกไว้ว่า ไว้ให้ลูกหลาน ไถ่บ้าน ไถ่เมือง พระองค์ตรัษว่า..ก็เห็นแต่มีแต่ฟ้าใหญ่ กับฟ้าน้อยที่พอจะเอาชาติรอด เสียแต่ว่า ฟ้าน้อยเอาแต่ขี่ม้าล่อช้างตกมัน ฟ้าใหญ่ ก็เอาแต่ห่มแหวก

รัชกาลที่ ๔ สนิทธรรม ทรงผนวชถึง ๒๗ พรรษาและทรงเชี่ยวชาญด้านธรรมะ / มีมิตรทางพระ ทั้ง พุทธ และ คริต

รัชกาลที่ ๕ จำแขนขาด เสียดินแดนให้แก่พวกฝรั่งเศสและอังกฤษ

รัชกาล ที่ ๖ ราษฏรราชาโจร ชาวบ้านหาว่าพระองค์เป็นโจร เอาเงินในท้องพระคลังไปใช้เสียหมด (สร้างเมืองจำลอง / ดุสิตธานี / สร้างพระราชวังสนามจันทร์ นครปฐม / ปลูกคฤหาส หลังงาม ๆๆ ให้บริวารใกล้ชิด จำนวนมาก )

รัชกาลที่ ๗ นั่งทนทุกข์ ทรงเถลิงราชสมบัติในช่วงของเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ต้องใช้มาตราการ ดุนข้าราชการออก เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทรงสละราชสมบัติ

รัชกาลที่ ๘ ยุคทมิฬ เกิดสงครามโลกครั้งที่สอง และพระองค์ถูกลอบปลงพระชนม์

รัชกาล ที่ ๙ ถิ่นกาขาว กาส่วนใหญ่ มันต้องดำ (กาขาวก็มีนะครับกาเผือก) แต่เป็นการอุปมา อุปมัย ( ตอนนี้คุณ ก็เห็นแล้ว กาขาว คือใคร พูดแต่ว่าตัวเองเป็นคนดี เป็นคนมีจริยธรรมสูง แต่ไม่ยอมให้ใครพูดว่าตัวเองดำ... กาขาวจริง... 5555 )

รัชกาลที่ ๑๐ ชาววิไล คือยุคที่บ้านเมืองของไทยเจริญรุ่งเรืองอย่างเต็มที่ แต่ตอนนี้เหตุการณ์ยังมาไม่ถึง

เป็น ไงครับท่านผู้อ่านที่เคารพ ลองใช้ปัญญาพิจารณาเปรียบเทียบหาเหตุผลกันเอาเอง ผมมีหน้าที่นำเสนอ จากตำรับตำรา หนังสือวารสารต่างๆ ที่มีอยู่เท่านั้น

ท่านฤาษีลิงดำ ท่านเคยกล่าวเอาไว้ว่า

" ในราวปลายรัชกาลที่ ๙ หรือรัชกาลที่ ๑๐ นี้ ประเทศไทยจะขุดพบแร่สำคัญชนิดหนึ่ง ซึ่งมีกำลังคล้ายแร่ยูเรเนียมแต่ทว่ามีกำลังสูงกว่า ถ้าใช้ทางด้านสันติจะมีความเย็นสามารถเผาโรคได้ด้วยอำนาจของความเย็น ถ้าใช้ทางด้านพลังงาน ก็จะมีพลังงานสูงมาก ถ้าใช้ฆ่าฟันกันก็จะมีพลังงานมากยิ่งกว่าแร่ที่เขาใช้กันในปัจจุบัน เวลานี้ขุดมาได้ก็เหนื่อยเปล่า ๆ ไม่มีประโยชน์ ถึงเวลามันจะปรากฎเอง และเมืองไทยจะมีทรัพยากรต่าง ๆ ปรากฎขึ้นมาอีกมากมาย เริ่มตั้งแต่พ.ศ. ๒๕๒๐ เป็นต้นไป และจะค่อยๆ มีมากขึ้นอย่างเต็มที่ เมื่อกลางสมัยรัชกาลที่ ๑๐ ต่อไป ประเทศไทยจะมีความมั่งคั่งสมบูรณ์ ประเทศชาติจะร่ำรวยมาก "

อ่าน เล่น ๆ เพื่อเป็นกำลังใจว่าประเทศเราจะต้องผ่านพ้นวิกฤตการณ์นี้ไปได้อย่างแน่นอน ขอความสงบสุขจงคืนสู่พี่น้องไทยในชายแดนภาคใต้ครับ

อ้างอิงจาก
http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P7090360/P7090360.html

 

หมายเลขบันทึก: 215869เขียนเมื่อ 11 ตุลาคม 2008 20:50 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 มิถุนายน 2012 22:12 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)
" คำทำนาย ชะตาเมืองไทย ของสมเด็จโต"

จากหนังสือจุลสาร " 1999 โลกพินาศ 2542 แผนอยู่รอด "

รวบรวมโดย รองศาสตราจารย์ ดร.พิชัย โตวิวิชญ์



ในหนังสือ "ปัญญาไทย 1" ที่เขียนบันทึกเกี่ยวกับประวัติ ผลงานอภินิหาร และ เกียรติคุณ ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต ) พรหมรังษี ของ มหาอำมาตย์ ตรีพระยาทิพโกษา ( สอน โลหะนันท์ ) ซึ่งเป็นฉบับที่ ม.ล.พระมหาสว่าง เสนีย์วงศ์ รวบรวมในปี พ.ศ.2493 โดยไม่มีการแก้ไขข้อความเดิม ในหน้า 27 มีการพยากรณ์ ถึงชะตาเมือง ไว้อย่างน่าสนใจดังนี้


หลังจากที่ เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต ) พรหมรังษี ได้มรณภาพลง เมื่อวันเสาร์แรม 2 ค่ำ เดือน 8 ซึ่งตรงกับ วันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2415

ตอนเที่ยงคืน เช้าวันรุ่งขึ้น นายอาญาราช ( อิ่ม ) ศิษย์ก้นกุฏิ ของเจ้าประคุณสมเด็จ เข้าไปเก็บกวาด ในกุฏิของท่าน ขณะทำความสะอาดพื้นกุฏิ นายอาญาราชได้พบ เศษกระดาษชิ้นหนึ่งซุก อยู่ใต้เสื่อเป็นลายมือของเจ้าประคุณสมเด็จ เขียนสั้นๆ โดยสังเขป เป็นคำทำนายชะตาเมือง มีความว่า

“มหากาฬ พาลยักษ์ รักมิตร สินทธรรม จำแขนขาด ราษฎร์จน ชนร้องทุกข์ ยุคทมิฬ ถิ่นกาขาว ชาววิไล”

ห ม า ย เ ห ตุ คำทำนายของสมเด็จข้างต้นนี้หาอ่านได้จากหนังสือ " NOSTRADAMUS นอสตราดามุส"

ศาสตราจารย์เจริญ วรรธนะสิน พิมพ์ครั้งที่ 8 เมษายน 2540
Thans:Man In Flame

ตอนที่ ๑

เรื่องปริศนาพยากรณ์ ๑๐ รัชกาลนี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องแปลกใหม่ ไม่ใช่เป็นเรื่อง "มงคลตื่นข่าว" หรือกระต่ายตื่นตูมแต่อย่างไร แต่เป็นเรื่องที่หลายท่านอาจจะเคยได้ยินได้ฟังมานาน จากพ่อแม่ ปู่ย่าตายายหรือคนรุ่นเก่าเล่าให้ฟัง หรือบางท่านอาจจะเคยอ่านเจอในหนังสือต่าง ๆ มาบ้างแล้วก็เป็นได้ แต่ผมเชื่อนะครับว่ายังมีอีกหลายท่านที่ไม่เคยรู้ ไม่เคยอ่าน ไม่เคยได้ยินมาก่อน หรือบางท่านอ่านแล้วไม่เข้าใจหรืออาจจะลืมไปแล้วก็ได ้ ดังนั้นผมจึงถือโอกาสนำมาเขียนบันทึกเอาไว้ในที่นี้ เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้สดับ และใช้ปัญญาพิจารณาถึง เรื่องราวเหตุผล ความเป็นมา ความเป็นไปได้ไม่ได้อย่างไร หากข้อความที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้ ผิดเพี้ยนจากข้อมูลที่ท่านเคยได้รับมา หรือ อาจจะมีสิ่งใดที่ส่งผลกระทบต่อผู้ใด ในทางที่ไม่ควรแล้ว ก็ได้โปรดให้อภัยและถือเสียว่า ทั้งหมดนี้เป็นทัศนะอันหนึ่งของผมในด้านโหราศาสตร์ และผมขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว หากจะมีกุศลผลบุญแห่งความดีอยู่บ้าง ผมขออุทิศกุศลนั้น แด่พ่อแม่ผู้ให้กำเนิด ครูอาจารย์ ผู้ประสิทธิประสาทวิชาความรู้และผู้มีอุปการคุณทุกท่ าน ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่และล่วงลับไปแล้ว ตลอดทั้งดวงพระวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าประคุณสม เด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี แห่งวัดระฆังโฆสิตาราม กทม. ซึ่งหลายท่านเชื่อว่า "ท่านเป็นผู้กล่าวคำปริศนาพยากรณ์ ๑๐ ข้อ " นี้ด้วยเทอญ.

ก่อนที่จะได้สดับถึงหัวข้อปริศนาทั้ง ๑๐ ข้อ กระผม ใคร่ขอนำอัตตชีวประวัติโดยย่อของท่านเจ้าประคุณสมเด็ จพระพุฒาจารย์ (โต) ซึ่งต่อไปนี้ผมจะเรียกพระนามท่านว่า "สมเด็จโต" และเกร็ดอภินิหารบางตอนที่เกี่ยวกับการพยากรณ์โดยใช้ อำนาจจิตมาให้ท่านได้อ่านกันพอสังเขป ดังนี้

สมเด็จโตท่านถือกำเนิดจากโยมมารดา ผู้มีนามว่า "งุด" ส่วนโยมบิดานั้นไม่เป็นที่ปรากฎ แต่ก็มีข้อสันนิษฐานที่น่าเชื่อถือได้ต่อมาในภายหลัง ว่า โยมบิดาของท่านคือ "พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ แห่งบรมราชจักรีวงศ์" ข้อสันนิษฐานนี้ไม่ใช่เดากันส่งเดชนะครับ มีหลักฐานปรากฎ เป็นลายลักษณ์อักษร และเรื่องราวบันทึกเอาไว้ด้วย เช่น รัชกาลที่ ๒ สมัยดำรงพระยศเป็นสมเด็จเจ้าฟ้า ฯ (ยังไม่ครองราชย์) ได้พระราชทานเรือกราบกัญญา หลังคากระแซง ซึ่งเป็นเรือทรงในพระองค์เจ้าให้แก่สามเณรโต นอกจากนั้นในจดหมายเหตุบัญชีน้ำฝน พระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวิริยาลงกรณ์ เล่ม ๓ หน้า ๔๔ ได้กล่าวถึงประวัติของสมเด็จ ฯ ตอนมรณภาพว่า "สมเด็จพระพุฒาจารย์ถึงชีพิตักษัย" ซึ่งเป็นคำราชาศัพท์ที่ใช้กับฐานันดรชั้นพระองค์เจ้า และอีกประการหนึ่ง สมเด็จโตท่านมักจะทำอะไรแผลง ๆ ไม่เว้นแม้แต่หน้าพระที่นั่งของล้นเกล้ารัชกาลที่ ๔ ถ้าเป็นพระราชาคณะรูปอื่นล่ะก็ มีหวังถูกถอดพัดยศ ถูกจับสึกและลงอาญาไปแล้ว แต่สมเด็จโต ฯ พระองค์ท่านกลับไม่ถือสาหาความ และยังเห็นดีเห็นงามในพฤติกรรมของท่าน ที่เป็นอุบายธรรมอันล้ำเลิศอีกด้วย

ในสมัยที่สมเด็จโตยังดำรงสังขารอยู่นั้น ท่านเป็นพระธรรมกถึกเอก (พระนักเทศน์) ที่มีลีลาวาทะจับใจ ประทับใจมาก เป็นที่ศรัทธาปสาทะของชนทุกเหล่า ตั้งแต่กระยาจก สามัญชน เศรษฐี เสนาบดี จนถึงพระเจ้าแผ่นดิน ท่านถือกำเนิดเมื่อวันพฤหัสบดี เดือน ๕ ขึ้น ๑๒ ค่ำปีวอก ตรงกับวันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๓๓๑ เวลาประมาณ ๐๖.๕๔ น. ที่บ้านท่าอิฐ ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ เมื่อถือกำเนิดได้ไม่นาน เกิดภาวะฝนแล้งติดต่อกันหลายปี การทำนาไม่ได้ผล โยมมารดาของท่านจึงได้ย้ายภูมิลำเนาไปอยู่กับยายที่บ ้านไก่จ้น ตำบลท่าหลวง อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

ต่อมาท่านอายุประมาณ ๗ ขวบ มารดาได้ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่ ตำบลบางขุนพรหม กรุงเทพฯ และได้มอบให้เป็นศิษย์ของท่านเจ้าคุณอรัญญิก (ด้วง) เจ้าอาวาสวัดอินทรวิหาร เพื่อศึกษาอักขรสมัยเมื่ออายุครบ ๑๒ ปีบริบูรณ์ ตรงกับปีวอก พ.ศ. ๒๓๔๓ ได้บรรพชาเป็นสามเณร โดยมีพระบวรวิริยะเถร (อยู่) เจ้าอาวาสวัดบางลำภูบน(วัดสังเวชวิศยารามในปัจจุบัน) เป็นพระอุปัชฌาย์ ภายหลังได้ย้ายไปอยู่วัดระฆังโมสิตาราม เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรมกับ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (นาค เปรียญเอก)

สามเณรโต เป็นผู้มีความวิริยะอุตสาหะ ในการศึกษาเป็นอย่างดี มีวัตรปฏิบัติที่น่าเลื่อมใส จนปรากฎว่า "พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย" เมื่อครั้งยังดำรงพระยศเป็นสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศร สุนทร ทรงโปรดปรานมาก (พระองค์ทรงทราบว่าเป็นพระโอรสเกิดจากนางงุด เพราะหลักฐานรัดประคดหนามขนุน ซึ่งเป็นเครื่องอิสริยศสำหรับแม่ทัพ ที่ได้ให้ไว้แก่โยมมารดาสามเณรโต เมื่อคราวไปราชการทัพและพบรักกับโยมมารดาของท่านที่บ ้านเกิด) ได้ทรงรับเอาไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้พระราชทานเรือกราบกัญญาหลังคากระแซงให้ท่านใช้สอย ตามอัธยาศัย

เมื่ออายุครบ ๒๐ ปี ตรงกับปีมะโรง พ.ศ.๒๓๕๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพระกรุณาโ ปรดเกล้า ฯ ให้อุปสมบทเป็นนาคหลวง ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว)โดยมีสมเด็จพระสังฆราช (สุก) วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ ให้ฉายาว่า "พรหมรังสี"และเรียก"พระมหาโต" แต่นั้นมา

จาก

http://www.phutto.com/forums/showthread.php?t=103

ตอนที่ ๒

สามเณรโต เมื่อบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาแล้ว พระสงฆ์ทั่วไปเรียกท่านว่า "มหาโต"ด้วยเหตุที่ท่านมีความรู้แตกฉานในพระปริยัติธ รรม ล่วงรู้อรรถกถาธรรมในพระไตรปิฏกอย่างแตกฉานตั้งแต่สม ัยยังเป็นเณร แม้ท่านไม่เคยเข้าสอบเปรียญธรรม แต่ภูมิธรรมของท่านนั้น เป็นที่ยอมรับปรากฎเด่นชัด ตั้งแต่ตอนที่ไปศึกษาที่วัดระฆัง กับสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (นาค) ก่อนที่จะย้ายไป ท่านอาจารย์วัดระฆัง ฝันไปว่า "มีช้างเผือกเชือกหนึ่ง เข้ามากินหนังสือพระไตรปิฏกในตู้ของท่านจนหมด" ซึ่งพอตื่นขึ้น ก็เกิดความมั่นใจว่า จะได้ศิษย์ที่ฉลาดหลักแหลมคนหนึ่ง และก็เป็นจริง วันรุ่งขึ้นสามเณรโตก็ถูกนำตัวมาฝาก ท่านจึงรับไว้ด้วยความยินดี

สามเณรโตเป็นช้างเผือกจริงขนาดไหน ก็ลองฟังสมเด็จพระสังฆราช (สุก) วัดมหาธาตุ ท่านตรัสถึงสามเณรโตดูก็ได้ ว่าก่อนจะเรียนหนังสือ (สมัยนั้นเขาแปลหนังสือจากคัมภีร์ภาษามคธหรือบาลีเป็ นภาษาไทย) สามเณรได้ทูลสมเด็จพระสังฆราชว่า"วันนี้จะเรียนตั้งแ ต่บทนี้ ถึงบทนี้นะขอรับ" เสร็จแล้วเวลาเรียนก็เปิดหนังสือออกแปลจนตลอดตามที่ก ำหนดไว้ และทำอย่างนี้ทุกครั้ง จนสมเด็จพระสังฆราชผู้เป็นอาจารย์ว่า " ขรัวโตเขามาแปลหนังสือให้ฉันฟัง เขาไม่ได้มาเรียนหนังสือกับฉันดอก" (คำว่า "ขรัว" เป็นคำยกย่องพระผู้คงแก่เรียน มีวัตรปฏิบัติที่เคร่งครัด บวชเรียนมานาน)

สมเด็จโต ท่านไม่ได้เก่งแต่ทางด้านปริยัติธรรมเท่านั้น ทางด้านปฏิบัติ และปฏิเวธ ท่านก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้ใด ท่านเป็นผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็ง อดทน มั่นคง มีเมตตาจิต ตั้งใจจริง ไม่ถือโทษโกรธผู้ใดไม่ใฝ่ในลาภยศ สรรเสริญ ลาภสักการะ มักน้อย รักสันโดษ (ความพอใจ) เมื่อสิ้นรัชกาลที่ ๒ ท่านทรงหนีเข้าป่า ออกธุดงค์ เจริญกรรมฐาน แสวงหาครูอาจารย์ที่เก่งทางด้านพุทธาคม เนื่องจากท่านไม่ยอมรับสมณศักดิ์ที่ล้นเกล้ารัชกาลที ่ ๓ ถวายให้

จวบจนถึงรัชกาลที่ ๔ ได้ประกาศให้หัวเมืองจับตัวพระมหาโตกลับมา เพื่อให้รับสมณศักดิ์ให้จงได้ อันที่จริงไม่มีผู้ใดจะจับท่านได้หรอกครับ เพราะท่านมีวิชาแปลงหน้า แต่ท่านสงสารพระภิกษุรูปอื่นที่มีรูปพรรณ สัณฐาน คล้ายกันกับท่าน ต้องถูกจับไปคุมขัง สอบสวน ให้ได้รับความทุกขเวทนา ท่านจึงยอมตนให้ทางบ้านเมืองจับแต่โดยดี เมื่อถูกส่งตัวไปถึงเฉพาะหน้าพระพักตร์ ล้นเกล้า ฯ รัชกาลที่ ๔ ตรัสว่า "เป็นยุคของฉันครองแผ่นดิน ท่านต้องช่วยกันบำรุงพระศาสนา" ขรัวโตจึงยอมรับสมณศักดิ์ ในตำแหน่ง "พระธรรมกิติ" พอพระราชทานสมณศักดิ์แล้ว ทรงมีพระดำรัสว่า "ในรัชกาลที่ ๓ หนี, ไม่รับสมณศักดิ์ คราวนี้รับ ทำไมไม่หนีอีกล่ะ"

สมเด็จโตถวายพระพรว่า "ก็รัชกาลที่ ๓ ไม่ได้เป็นเจ้าฟ้านี่ เป็นแต่เจ้าแผ่นดิน จึงหนีได้ (ทำนองว่าเป็นเจ้าแผ่นดิน จึงหนีขึ้นฟ้าได้) ส่วนมหาบพิตร เป็นทั้งเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน จะหนีไปข้างไหนพ้น" (อธิบายความว่า รัชกาลที่ ๓ เป็นแค่พระองค์เจ้า เพราะประสูติจากเจ้าจอม ส่วนรัชกาลที่ ๔ นั้น เป็นเจ้าฟ้าเพราะประสูติจากพระมเหสี) เป็นไงครับ ลีลาวาทะของสมเด็จท่าน ยังมีอีกมาก สนใจก็ลองหาหนังสือประวัติของท่านโดยละเอียดดู

สมเด็จโต ท่านเป็นพระเถราจารย์ที่เก่งทุกด้าน จัดเป็นอัจฉริยะบุคคลแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นก็ว่ าได้ หลายท่านเชื่อว่าท่านสำเร็จ "ภูมิธรรมชั้นสูงขั้นพระอริยบุคคล" ได้อภิญญาสมาบัติ มีวิชาแปดประการ เช่น แสดงฤทธิ์ล่องหน หายตัว ,ย่นระยะทาง,รู้วาระจิต, รู้อดีต ,รู้อนาคต,รู้ภาษาสัตว์, ห้ามลมห้ามฝน ฯลฯ แต่ในบทความนี้จะขอยกตัวอย่างเกี่ยวกับคำพยากรณ์ของท ่านในวาระต่าง ๆ ที่ท่านยังมีพระชนม์ชีพอยู่ และวิธีการพยากรณ์ของท่านก็ไม่ได้ใช้แบบผูกดวง หรือดูโหงวเฮ้ง แต่ท่านใช้จิตศาสตร์ หรือ "นั่งทางใน" ดู จะขอยกตัวอย่างสัก ๒ เรื่อง พอสังเขป ดังนี้

เมื่อครั้งที่ รัชกาลที่ ๔ จะเสด็จไปทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวง ที่ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์นั้น พระองค์ได้ทรงคำนวณพระชาตาของพระองค์เอง (ทรงเป็นนักดาราศาสตร์และนักโหราศาสตร์ที่มีพระปรีชา มาก) ว่าพระชาตาจะถึงฆาต สิ้นอายุขัยในปีนั้นด้วย วันหนึ่งจึงมีพระดำรัสถามสมเด็จโต ณ ที่ รโหฐานว่า พระองค์จะเสด็จกลับมาสวรรคตที่กรุงเทพ ฯ ทันหรือไม่ สมเด็จท่านทูลว่า จะเสด็จกลับทัน จึงเสด็จออกจากกรุงเทพ ฯ ประทับแรมอยู่ที่หว้ากอ ๙ วัน แล้วจึงกลับกรุงเทพ ฯ และเริ่มมีพระอาการประชวรไข้ป่า (มาลาเรีย) จับไข้อยู่ ๓๗ วัน จึงสวรรคต

อีกเรื่องหนึ่งในรัชกาลที่ ๕ เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชทานผ้าพระกฐินที่วัดระฆัง สมเด็จโตท่านแต่งตัวแปลกประหลาด กล่าวคือท่านห่มจีวรเหมือนปกติแต่เอาผ้าพันเท้าทั้งส องข้างเหมือนกับสวมถุงเท้า พระพุทธเจ้าหลวงท่านทรงถามถึงสาเหตุที่ทำอย่างนั้น ท่านถวายพระพระพยากรณ์ว่า "ปีหน้า จะต้องเป็นอย่างนี้" พระองค์ท่านได้สดับก็แย้มพระโอษฐ์ ไม่ได้ตรัสว่ากระไร ในปีนั้นได้เสด็จไปประพาสเมืองสิงคโปร์ เมืองบะตาเวีย และเมืองสะมารัง รวม ๓๗ วัน เมื่อเสด็จกลับมาแล้ว ก็เริ่มทรงจัดการแก้ไขเปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมในราชส ำนักหลายอย่าง เช่น โปรด ฯ ให้ผู้เข้าเฝ้าแต่งตัวสวมถุงเท้า รองเท้า ใส่เสื้อเปิดคอแบบฝรั่ง เวลาเสด็จประพาสก็โปรดให้แต่งตัวใส่ถุงเท้า รองเท้าเสื้อเปิดคอ และยืนเฝ้าเหมือนกับ ที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ เอาผ้าพันเท้านั้น ก็เป็นนิมิตหมายว่าปีต่อมา ข้าราชการจะต้องสวมุงเท้าเข้าเฝ้า..ก็เป็นเช่นนั้นจร ิง ๆ

ได้เล่าประวัติของสมเด็จท่านมาพอสมควร ในตอนหน้าก็จะได้ว่ากันต่อถึงคำปริศนาพยากรณ์สมเด็จ ซึ่งมีด้วยกัน ๑๐ ข้อ ซึ่งหมายถึง ๑๐ ยุค หรือ ๑๐ รัชกาล ให้ท่านได้พิจารณากัน

จาก

http://www.phutto.com/forums/showthread.php?t=103

ขอบคุณที่ให้ความรู้ได้กว้างขวางมากนะครับ แต่เฉพาะบทกลอนนี้..

๐ คำทำนายที่เคยมีมาช้านานนัก เริ่มประจักษ์ให้เห็นเร้นไม่ได้

หลวงพ่อฤาษีลิงดำเคยทำนาย เมื่อถึงปลายรัชกาลผ่านเข้ามา

ประเทศชาติจะรุ่งเรืองและเฟื่องฟุ้ง น้ำมันผุดขึ้นมาจนเห็นค่า

พวกกาขาวจะบินรี้หนีเข้ามา เป็นประชาชนเต็มพระนคร..(ยังมีต่อ)

เพิ่งได้ทราบว่าทาง "เวปวัดท่าซุง" ได้ปฏิเสธว่าเฉพาะบทกลอนนี้ ไม่ใช่คำทำนายของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ เว็บเริ่มเปิดเมื่อเดือนกรกฎาคมนี้เอง สามารถตรวจสอบได้ตามนี้ครับ

http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=680

ส่วนคำทำนายเรื่องภัยพิบัติตามเว็บต่างๆ อาจจะคลาดเคลื่อนเช่นกัน ก็มีเสียงพูดของท่านตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ด้วย

1. เหตุแผ่นดินไหว http://tamroiphrabuddhabat.com/xmb/viewthread.php?tid=368

2. โพรงดินในเมืองไทย http://tamroiphrabuddhabat.com/xmb/viewthread.php?tid=369

3. พุทธพยากรณ์ 1 http://tamroiphrabuddhabat.com/xmb/viewthread.php?tid=370

4. พุทธพยากรณ์ 2 http://tamroiphrabuddhabat.com/xmb/viewthread.php?tid=371

ชอบอ่านเรื่องเก่าๆค่ะ ได้ความรู้และความรู้สึกแปลกๆไป ขอบคุณ ว่าที่ พ.ต.ณัฏฐพล ตันมิ่ง นะคะที่นำเรื่องดีๆเป็นข้อคิดคติเตือนใจชาวไทย ไว้ล่วงหน้า ไม่เชื่ออย่าลบหลุ่ กันไว้ดีกว่าแก้นะคะ เพราะถ้าแย่แล้วจะแก้ไม่ทัน

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท