เมื่อหลวงพ่อวัดปากน้ำ...เสนอโครงการพัฒนาประเทศ
เสนอโครงการพัฒนาประเทศ
ไม่เพียงแต่จะอุทิศชีวิตเพื่อสืบต่ออายุพระบวรพุทธศาสนาเท่านั้น หลวงพ่อของเราท่านยังมีความห่วงในในประเทศชาติและพระราชวงศ์อีกด้วย ที่ข้าพเจ้าทราบเพราะท่านเคยปรารภให้พวกที่ได้ธรรมกายฟังเสมอ ๆ ท่านต้องการให้ประเทศไทยได้รับการพัฒนาเทียมทันอารยประเทศ หลวงพ่อท่านเคยเสนอแนะโครงการพัฒนาประเทศแก่ ฯ ฯ ฯพณฯ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น ครั้งที่ ฯ ฯพณฯ จอมพล ป. และท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม มาวางศิลาฤกษ์สร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมภาวนานุสนธิ์ ในปี พ.ศ. ๒๔๙๓
โครงการพัฒนาประเทศที่หลวงพ่อได้เสนอแนะมีดังนี้
๑. ให้สร้างอาคารสงเคราะห์เพื่อให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยของตนเอง โดยใช้เงินที่ได้จากการขายสลากกินแบ่ง
๒. ให้จัดสรรที่ดินให้เกษตรกรได้ใช้ทำมาหากินโดยทั่วถึงกันอย่างน้อยคนละ ๒๕ ไร่
๓. ให้ประกาศเลิกสูบฝิ่น
๔. ให้เลิกโสเภณี
๕. ให้ตัดถนนหนทางเพิ่มขึ้นเพื่อสะดวกแก่การคมนาคม การค้าขาย
เราจะเห็นว่าโครงการพัฒนาประเทศที่หลวงพ่อท่านได้เสนอแนะแก่คณะรัฐบาลในสมัย
นั้นเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศเป็นอย่างมาก และมีหลายโครงการที่ ฯพณฯ จอมพล ป. พิบูลสงครามได้ดำเนินการ
ด้านการพัฒนาการศึกษา
หลวงพ่อท่านเป็นผู้ที่รักและเห็นความสำคัญของการศึกษา สมัยที่ท่านอยู่วัดพระเชตุพนฯ ท่านก็เคยจัดตั้งโรงเรียนขึ้นโดยใช้กุฏิของท่านเป็นที่สอนหนังสือแก่พระภิกษุสามเณร ท่านเคยพูดเสมอว่า คนที่มีการศึกษาดีจะได้อะไรก็ดีกว่าประณีตกว่าผู้อื่น คนมีวิชชาเท่ากับได้สมบัติจักรพรรดิกินใช้ไม่หมด
ท่านพยายามส่งเสริมสนับสนุนให้ทุกคนได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนในสมัยที่ท่านมาเป็นเจ้าอาวาสวัดปากน้ำใหม่ ๆ มีเด็ก ๆ ลูกชาวบ้านไม่ได้รับการศึกษาเข้ามาเล่นเอะอะ ยิงนกตกปลาในวัดเสมอ ๆ หลวงพ่อท่านเป็นห่วงอนาคตของเด็ก ๆ พวกนี้มากเกรงว่าไม่ได้รับการศึกษาเล่าเรียนแล้วจะกลายเป็นเด็กเกเรและเป็นอันธพาลไปในที่สุด ท่านจึงคิดจะช่วยเด็กเหล่านี้ให้มีที่เรียน
ท่านจึงก่อตั้งโรงเรียนขึ้นในวัดโดยหาทุนค่าจ้างครูเอง ได้รับอุปการะจากท่านผู้หญิงสุธรรมมนตรี (กิมไล้ สุจริตกุล) หลวงฤทธิ์ณรงค์รอญ นายต่าง บุญยมานพ พระภิรมย์ราชาและผู้มีจิตศรัทธาอื่น ๆอีกหลายคน หลวงพ่อท่านไม่เรียกเก็บค่าเล่าเรียน เริ่มต้นมีนักเรียนเพียงไม่กี่คนแล้วเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ จนมีนักเรียนถึงสามร้อยเศษ ต่อมาทางการได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษาขึ้น มีการสร้างโรงเรียนให้เยาวชนมีสถานศึกษาเล่าเรียนจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ จนมีนักเรียนถึงสามร้อยเศษ
ต่อมาทางการได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษาขึ้น มีการสร้างโรงเรียนให้เยาวชนมีสถานศึกษาเล่าเรียนโดยทั่วถึงกัน ระยะนั้นหลวงพ่อท่านต้องไปรักษาการเจ้าอาวาสวัดขุนจันทร์ด้วย ท่านจึงย้ายโรงเรียนไปสอนที่วัดขุนจันทร์ หลังจากนั้นได้มอบให้ทางการดำเนินการ
เมื่อหมดภาระจากโรงเรียนสอนเด็ก ๆ ลูกชาวบ้านแล้ว หลวงพ่อท่านจึงหันมาจัดการศึกษาด้านพระปริยัติธรรม เพราะท่านมุ่งจะพัฒนาคนเป็นงานใหญ่ ท่านไม่ยอมให้พระภิกษุสามเณรในวัดอยู่ว่าง ๆ พระภิกษุสามเณรทุกรูปต้องศึกษาพระปริยัติธรรม เพื่อรู้หลักธรรมในพระพุทธศาสนาอย่างละเอียดจะได้ปฏิบัติตัวได้ถูกต้องและสั่งสอนคฤหัสถ์ได้อีกด้วย
พระภิกษุต้องเป็นที่พึ่งทางใจของฆราวาสได้ สำหรับหลวงพ่อแล้วการศึกษาด้านปริยัติอย่างเดียวยังไม่พอ พระภิกษุสามเณรในวัดทุกรูปต้องปฏิบัติธรรมด้วย ดังคำที่ว่า ปริยัติเป็นยาทาวิปัสสนาเป็นยากิน พระภิกษุรูปที่ชราภาพมากแล้วเท่านั้นที่ไม่ต้องศึกษาด้านปริยัติ แม่ชีและศิษย์วัดก็เช่นกันอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ต้องศึกษาเล่าเรียน แม่ชีต้องเรียนธรรมศึกษาและฝึกปฏิบัติด้วย
หลวงพ่อท่านก็มิใช่เป็นแต่เพียงวิปัสสนาจารย์อย่างเดียว ท่านเคยศึกษาพระปริยัติธรรมจนมีความรู้เชี่ยวชาญมาแล้ว พระธรรมทัศนาธร อดีตอธิบดีสงฆ์วัดชนะสงครามได้เล่าเรื่องความรู้ทางด้านปริยัติของหลวงพ่อไว้ดังนี้
ท่านได้ศึกษาพระปริยัติธรรมมีความรู้นับว่าเชี่ยวชาญพอสมควรในพระปริยัติ ถ้าหากจะเข้าแปลภาษาบาลีในยุคนั้นก็คงจะได้เป็นมหาเปรียญกับเขาบ้าง แต่ท่านก็หาได้แปลไม่ เพราะมีความมุ่งหมายเล่าเรียนเพื่อจะให้เป็นนิสสรณปริยัติ คือ เป็นปริยัติที่จะนำตนของตนให้พ้นทุกข์ หรือเพื่อที่จะแนะนำสั่งสอนประชาชนหรือเพื่อที่จะเป็นแนวทางให้ประพฤติปฏิบัติให้ถูกทาง ท่านไม่ปรารถนาที่จะใช้ความรู้ของท่านเพื่อใบประกาศนียบัตรหรือเพื่อลาภยศอันใด แต่ก็เคยได้ศึกษาถ้าจะเทียบความรู้ของท่าน ท่านได้ศึกษาในชั้นเปรียญ ๓ ประโยค ๔ ประโยค และ ๕ ประโยค เมื่อท่านได้ศึกษามีความรู้อย่างดีแล้ว ท่านก็สะสมวิชาทางวิปัสสนา
ด้วยปณิธานอย่างจริงจังที่จะยกระดับชีวิตของบุคคล ส่งเสริมให้คนมีการศึกษา หลวงพ่อจึงได้ตั้งโรงเรียนสอนปริยัติขึ้น เป็นเรือนไม้มีครูสอนไม่กี่รูป ต่อมามีผู้เรียนมากขึ้นหลวงพ่อจึงคิดขยายโรงเรียนให้ใหญ่โตเพียงพอที่จะรับนักเรียนมาก ๆ ดังนั้นในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ วัดปากน้ำจึงเป็นสำนักเรียนด้านปริยัติมีพระครูพิพัฒน์ธรรมคณีเป็นอาจารย์ใหญ่มีการสอนภาษาบาลี นักธรรมธรรมศึกษาและสามัญศึกษา แผนกภาษาบาลีนั้นทำการสอนตั้งแต่ชั้นไวยากรณ์ถึง ป.ธ. ๖ ประโยคที่สูงกว่านี้ยังไม่สามารถเปิดสอนได้เพราะขาดบุคลากร หลวงพ่อต้องส่งไปศึกษายังสำนักอื่น ๆ เช่นวัดมหาธาตุ ฯ วัดพระเชตุพนฯ วัดกัลยาณมิตร วัดประยูรวงศ์ วัดอนงคาราม เป็นต้น
หลวงพ่อท่านมิได้เพียงแต่จัดการศึกษาแก่พระภิกษุ สามเณรเฉพาะภายในวัดปากน้ำเท่านั้น แต่ท่านยังเป็นกำลังสำคัญในการส่งเสริมการศึกษาของพระภิกษุ สามเณรที่วัดอื่นด้วย คือในสมัยที่พระพิมลธรรม (ช้อย ฐานทัตตเถร) ดำริที่จะปรับปรุงการศึกษาของพระสงฆ์ทั่วประเทศโดยจัดในรูปของวิทยาลัยสงฆ์ขึ้นตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ พระองค์มีพระราชประสงค์ที่จะให้พระภิกษุสงฆ์มีความรู้และวิจารณญาณกว้างขวางและให้เป็นสถาบันการศึกษาชั้นสูงของคณะสงฆ์ พระองค์ได้ทรงวางแนวทางการจัดหลักสูตรไว้ดังนี้ “เพื่อให้พระภิกษุสงฆ์ได้ศึกษาพระไตรปิฎกและวิชชาชั้นสูง อันเป็นประโยชน์เกื้อกูลในการเผยแพร่พุทธธรรม สถาบันแห่งนี้ในส่วนแห่งมหานิกายให้ชื่อว่า มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย” พระองค์ได้พระราชทาน พระนามของพระองค์เป็นชื่อวิทยาลัยซึ่งตั้งอยู่ ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์
ในเบื้องต้นนั้นคณะสงฆ์ไม่อาจสนองพระราชดำริได้ทันที จวบสมัยที่พระพิมลธรรม (ช้อย ฐานทัตตเถร) ดำรงตำแหน่งอธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุฯ จึงคิดสนองพระราชดำริคิดจัดตั้งสถาบันการศึกษาชั้นสูงของคณะสงฆ์ขึ้น แต่งานนี้เป็นงานใหญ่ต้องใช้ทุนทรัพย์เป็นจำนวนมาก เป็นภาระที่พระพิมลธรรมหนักใจอย่างยิ่ง ท่านจึงเรียกประชุมเถรานุเถระเพื่อปรึกษาหาวิธีการและหลวงพ่อของเราก็เป็นพระเถระรูปหนึ่งที่พระพิมลธรรมเชิญประชุมด้วย
หลวงพ่อท่านได้เสนอความคิดเห็นอันเป็นประโยชน์ในการหาทุนทรัพย์ กล่าวคือให้ถือว่าการปรับปรุงการศึกษาของคณะสงฆ์ตามพระราชดำรินี้เป็นภาระหน้าที่ของคณะสงฆ์ทั่วทั้งสังฆมณฑลเพราะสถาบันนี้เป็นแหล่งผลิต ศาสนทายาท ให้ออกมาเผยแพร่พุทธธรรมรับช่วงจากพวกเรา การศึกษาของพระภิกษุ สามเณรจะเป็นเครื่องชี้ชะตากรรมของพระพุทธศาสนาในอนาคตกาลได้ จึงเป็นการสมควรที่พระเดชพระคุณทั้งหลายจะต้องให้การสนับสนุนส่งเสริมให้เป็นไปตามพระราชดำริ การก่อสร้างอาคารเรียนนั้นต้องทนใช้ทุนทรัพย์มากก็จริงแต่ถ้าได้ความพร้อมเพรียงร่วมแรงร่วมใจกันของพระสังฆาธิการทั่วสังฆมณฑล ถึงจะเป็นงานใหญ่ก็ไม่เหลือวิสัยที่จะทำได้ โดยที่พระเดชพระคุณซึ่งดำรงตำแหน่งสังฆมนตรีว่าการปกครองมีบัญชาขอความร่วมมือให้พระสังฆาธิการระดับเจ้าอาวาสขึ้นไปจัดผ้าป่าขึ้นวัดละ ๑ กอง เพื่อสมทบทุนก่อสร้างอาคารเรียนของวิทยาลัยสงฆ์ โดยวิธีการเช่นนี้การก่อสร้างและการจัดการศึกษาคงเป็นไปได้ตามพระราชดำริ
นับว่าหลวงพ่อของเราท่านเป็นกำลังสำคัญอย่างยิ่งของพระพิมลธรรม (ช้อย ฐานทัตตเถร) มาตั้งแต่เริ่มต้นโดยเฉพาะการจัดหาทุนและดำเนินงานก่อตั้งสถาบันการศึกษาชั้นสูงของคณะสงฆ์ไทยให้ยั่งยืนมาตราบเท่าทุกวันนี้เรื่องนี้ มิใช่ข้าพเจ้าเพียงผู้เดียวที่ทราบ แต่เป็นที่ทราบกันดีในคณะศิษย์ของหลวงพ่อ ท่านเจ้าคุณพระอุดรคณาภิรักษ์ (กิตฺติวุฑโฒ) ก็ได้เคยเล่าเรื่องนี้เมื่อคราวแสดงธรรมเทศนาในการบำเพ็ญกุศลถวายพระครูประกาศสมาธิคุณ ณ วัดมหาธาตุ เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๗ เวลา ๑๙.๓๐ น.
หลังจากนั้นหลวงพ่อท่านก็คิดจะปรับปรุงสำนักเรียนวัดปากน้ำให้ได้มาตรฐาน พระภิกษุสามเณรไม่ต้องเดินทางไปศึกษาที่สำนักอื่นอีกต่อไป เพราะสมัยนั้นการเดินทางลำบากมากต้องนั่งเรือยนต์หรือเรือจ้าง หลวงพ่อจึงดำริที่จะสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมขึ้นใหม่ให้ใหญ่โตและทันสมัยเพียงพอที่จะรับพระภิกษุ สามเณรเข้าศึกษาได้มาก ๆ เพราะขณะนั้นวัดปากน้ำมีพระสงฆ์จำพรรษาถึง ๖๐๐ รูปเศษ และยังมีพระภิกษุ สามเณรจากวัดใกล้เคียงมาศึกษาด้วย โรงเรียนพระปริยัติธรรมที่หลวงพ่อดำริขึ้นนี้เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก สูง ๓ ชั้น ยาว ๒๙ วา ๒ ศอก (๕๒ เมตร) กว้าง ๕ วา ๑ ศอก (๑๐ ๑/๒ เมตร) ชั้น ๑ และชั้น ๒ เป็นที่เรียนปริยัติ ชั้น ๓เป็นที่ฝึกนั่งภาวนา (ในปัจจุบันชั้น ๓ ด้านหนึ่งเป็นห้องประชุมอีกด้านหนึ่งเป็นที่ศึกษาปริยัติของพระนวกภิกษุ) โรงเรียนหลังนี้สามารถรับนักเรียนได้เป็นจำนวน ๑,๐๐๐ รูป คุณหลวงวิศาลและ พ.อ. หลวงบุรกรรมโกวิทเป็นผู้ออกแบบและควบคุมการก่อสร้าง สิ้นงบประมาณก่อสร้างทั้งหมด ๒,๕๙๘,๑๑๐.๓๙ บาท (สองล้านห้าแสนเก้าหมื่นแปดพันหนึ่งร้อยสิบบาทสามสิบเก้าสตางค์)
เมื่อหลวงพ่อเริ่มดำเนินการก่อสร้างโรงเรียนในระยะแรก ๆ นั้น ศิษยานุศิษย์ของหลวงพ่อต่างพากันหนักใจแทนหลวงพ่อ เพราะทุกคนตระหนักดีว่าหลวงพ่อท่านไม่มีทุนทรัพย์เลยเพราะลำพังค่าภัตตาหารในโรงครัวก็เป็นภาระหนักที่ท่านต้อง รับผิดชอบอยู่แล้ว และยังต้องมีค่าสาธารณูปโภคต่าง ๆ ค่าก่อสร้างปฏิสังขรณ์เสนาสนะต่าง ๆ เพราะนับวันจะมีพระภิกษุ สามเณร แม่ชี อุบาสก อุบาสิกา ศิษย์วัดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ถึงกระนั้นหลวงพ่อท่านก็หาได้วิตกกังวลกับภาระเหล่านี้ไม่ ท่านยังมีดำริที่จะรับพระภิกษุ สามเณรให้จำพรรษาในวัดได้ถึง ๑,๐๐๐ รูป
นอกจากจะยังไม่มีทุนทรัพย์เพียงพอแล้ว หลวงพ่อท่านก็ยังไม่ขวนขวายหาเงินด้วย ท่านอยู่แต่ในวัดปฏิบัติกิจต่าง ๆตามปกติของท่าน คือคุมพระภิกษุ สามเณรลงทำวัตรในพระอุโบสถและให้โอวาทสั่งสอนพระภิกษุ สามเณร ๒ เวลา เช้า เย็น ในวันพระและวันอาทิตย์ลงแสดงธรรมในพระอุโบสถเอง ถ้าวันใดไม่แสดงเอง ท่านก็จะนั่งเป็นประธาน ออกรับแขก ๒ เวลาทุกวันคือตอนฉันภัตตาหารเพลและเวลาเย็น ๑๗.๐๐ น.
เวลานอกจากนี้ท่านจะปฏิบัติกิจภาวนาและควบคุมพระภิกษุ สามเณร แม่ชี ให้ปฏิบัติรวมอยู่กับท่าน ทุกวันพฤหัสบดีเวลาบ่าย ๒ โมงลงสอนการนั่งภาวนาแก่พระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ทั้งในวัดและต่างวัดที่ศาลาการ เปรียญ เวลานอกจากนี้ท่านจะปฏิบัติกิจภาวนาและควบคุมพระภิกษุ สามเณร แม่ชีให้ปฏิบัติอยู่กับท่าน ถ้าไม่จำเป็นไม่รับนิมนต์ไปนอกวัด ไปแต่กิจที่จำเป็นจริง ๆ เท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งไปค้างคืนนอกวัดเป็นปฏิเสธเด็ดขาด เพราะท่านได้ตั้งสัจจะไว้แล้ว ไม่ว่าผู้ใดมีความสำคัญขนาดไหนมานิมนต์ ท่านจะแจ้งให้ทราบว่าท่านได้ตั้งสัจจะไว้แล้วว่าจะไม่ไปท่านให้เหตุผลว่าท่านเป็นห่วงงาน
วันหนึ่งท่านพระครูวิเชียรธรรมโกวิท เจ้าอาวาสวัดคูหาสวรรค์ปัจจุบันและท่านพระครูปรีชายัติกิจเจ้าอาวาสวัดศิลามูล อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม ได้นัดหมายกับพระภิกษุอีกประมาณ ๘ รูป เข้าไปพบหลวงพ่อเพื่อกราบเรียนถามเรื่องการหาเงินสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรม เพราะเห็นว่าตอนนั้นหลวงพ่อได้สั่งซื้อเสาเข็มเป็นจำนวนมาก มากองไว้ตรงที่เป็นถนนข้างหอเจริญวิปัสสนาในปัจจุบัน พระภิกษุทั้ง ๑๐ รูปนี้ได้ไปปวารณาตัวรับใช้สนองพระเดชพระคุณหลวงพ่อในการช่วยหาเงิน โดยการออกไปแสดงพระธรรมเทศนาในวัดต่าง ๆ ตามต่างจังหวัดที่มีลูกศิษย์หลวงพ่ออยู่มาก ๆ ท่านเหล่านี้เสนอว่า จะจัดทำซองเป็นชุด ๆ เพื่อใสเงินที่ได้รับจากการบริจาคติดกัณฑ์เทศน์ของญาติโยม และจะนำซองนั้นมาให้ไวยาวัจกรเปิดนับเงินกันที่วัดปากน้ำ
หลวงพ่อท่านนั่งฟังโครงการหาเงินมาสร้างโรงเรียนของลูกศิษย์ของท่านจนจบไม่คัดค้านว่ากระไร แล้วท่านก็กล่าวขอบใจในความมีน้ำใจของพระคุณเจ้าเหล่านั้น ท่านบอกว่ามีหน้าที่เรียนก็เรียนไป ให้ตั้งใจเรียนให้ได้ประโยค ๙ จะมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วประเทศทีเดียวเพราะในสมัยนั้นถ้าพระภิกษุ สามเณรรูปใดเรียนจบประโยค ๙ จะได้รับการประกาศเกียรติคุณไปทั่วทุกจังหวัด หลวงพ่อท่านต้องการให้พระภิกษุสามเณรทุกรูปในวัดเรียนให้จบประโยค ๙ เพราะจะได้มาช่วยสอนในสำนักเรียนของท่าน ท่านมุ่งมั่นที่จะสั่งสอนให้พระภิกษุ สามเณรมีความรู้แตกฉานทั้งในด้านปริยัติและปฏิบัติ เพื่อจะได้นำความรู้มาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการพัฒนาสังคมและประเทศชาติ ถ้าพระภิกษุ สามเณรรูปใดเรียนจบชั้นสูงสุดในวัดแล้วท่านจะเป็นภารธุระนำไปฝากเรียนตามสำนักต่าง ๆด้วยตัวของท่านเอง พระรูปใดสอบผ่านประโยคต่าง ๆ แต่ละประโยคท่านจะกล่าวชมเชยทั้งต่อหน้าและลับหลังอีกทั้งจัดหารางวัลเพื่อเป็นกำลังใจให้อีกด้วย
หลวงพ่อท่านย้ำกับพระคุณเจ้าเหล่านั้นว่า “ข้าจะอยู่ในวัดเฉย ๆ อย่างนี้แหละ แล้วจะหาเงินมาสร้างโรงเรียนเอง สร้างได้ซี่น่ะเลี้ยงพระยังเลี้ยงได้ แล้วสร้างโรงเรียนทำไมจะสร้างไม่ได้ เรื่องจะไปเทศน์หาเงินน่ะหรือ เทศน์จนตายก็ยังไม่ได้เงินถึงล้านหรอก”
ในทีสุดหลวงพ่อก็สามารถสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมสำเร็จ เชิญ ฯพณฯ จอมพล ป. และท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงครามมาเป็นผู้วางศิลาฤกษ์เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๗ เป็นโรงเรียนพระปริยัติธรรมที่ใหญ่โตที่สุดในสมัยนั้น มีอุปกรณ์การศึกษาครบครัน หลวงพ่อของเราริเริ่มทำได้สำเร็จเป็นคนแรก
โรงเรียนหลังนี้นอกจากเป็นสถานที่ศึกษาพระปริยัติธรรมของสำนักเรียนวัดปากน้ำ แล้ว ยังให้เป็นสนามสอบของพระนวกะและเป็นสถานที่สอบธรรมสนามหลวงประจำปีของพระภิกษุ สามเณรเขตภาษีเจริญและเขตหนองแขม หลวงพ่อท่านตั้งชื่อโรงเรียนหลังนี้ว่า โรงเรียนภาวนานุสนธิ์ ท่านมีโครงการจะฉลองโรงเรียนเป็นงานใหญ่ในปีพ.ศ. ๒๕๐๐ อันเป็นปีที่รัฐบาลจัดงานฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษด้วย ท่านจะนิมนต์พระภิกษุ ๒๕๐๐ รูป มาเจริญพระพุทธมนต์และถวายสำรับภัตตาหารคาวหวานรวมทั้งเครื่องสมณบริขารจัดเป็นชุดถวายทุกรูป ท่านเคยพูดกับสมเด็จป๋าว่า “แกคอยดูจะสนุกกันใหญ่” แต่เผอิญท่านอาพาธในปีพ.ศ. ๒๔๙๙ โครงการฉลองโรงเรียนจึงต้องระงับไป
น.ส. ตรีธา เนียมขำ ผู้เล่า
พันเอกหญิงทัศนศรี ไตรยคุณ บันทึกและเรียบเรียง
พระศรีศาสนวงศ์ (สุชาติ ธมฺมตโน ป.ธ. ๙) ตรวจทานภาษาบาลี
จากหนังสือ : ตรีธาเล่าเรื่องหลวงพ่อวัดปากน้ำ
คุณครู ตรีธา เนียมขำ ปัจจุบันยังอยู่ประจำที่วัดปากน้ำ รับหน้าที่นายกสมาคมศิษย์หลวงพ่อวัดปากน้ำ ม.ส.จ. ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญวิชชาธรรมกายผู้หนึ่ง ถึงกับได้รับหน้าที่หัวหน้าเวรทำวิชชาฝ่ายอุบาสิกาจากหลวงพ่อวัดปากน้ำ (หัวหน้าเวร มีเพียง ๖ ท่านในยุคนั้น)
หนังสือตรีธาเล่าเรื่องหลวงพ่อและวัดปากน้ำนี้ได้พิมพ์ครั้งแรกจำนวน ๕,๐๐๐ เล่ม เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๗ แจกในงานฉลองอายุ ๑๐๐ ปี ของพระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโรเถระ) หลวงพ่อวัดปากน้ำ วันที่ ๒๓-๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๒๗
อ่านแล้วเพิ่มเติมความรู้ได้ดีมาก