ก่อนหน้าที่น้ำจะขึ้นจนบ้านเราไม่มีดินให้เดิน พ่อก็จัดการเอาเรือซึ่งเวลาปกติจะถูกแขวนไว้กับขื่อในโรงรถมาซ่อม เพื่อบ้านเราจะได้มีเรือพายไปไหนมาไหนเหมือนกะบ้านอื่นๆ เขาบ้าง งานนี้พ่อทำคนเดียวไม่ได้ พ่อจึงใช้สิทธิของผู้ให้กำเนิด “ทั้งบังคับและบัญชา” ให้ลูกๆ ทั้งสี่ พร้อมทั้งแม่เป็นหัวหน้าทีม มาช่วยพ่อยกเรือลงไปวางไว้บนเก้าอี้สองตัวหัวท้าย โดยการวางคว่ำเรือลง เอาท้องเรือขึ้น เพื่อจะได้ตรวจดูรอยรั่ว กว่าจะเอาเรือลงมาวางได้เรียบร้อยก็เหนื่อยไปตามๆ กัน พี่ณัฐนั้นหน้าแดงแรงไม่ออก พี่นันท์ก็หน้านิ่วคิ้วขมวด พี่นิธน่ะพ่อต้องหลอกล่อว่าเสร็จแล้วจะให้กินขนมปังจิ้มนม พี่นิธจึงจะมีแรง ส่วนนุตนะเหรอก็เป็นตัวเกะกะที่พี่นันท์ใช้บาทายันให้ไปห่างๆ ซะหลายรอบ แต่ก็ยังนัวเนียไม่ยอมห่าง ฝ่ายแม่ก็ได้แต่ส่งเสียงอุ้ยๆ โอ้ยๆ ระวังๆ งานนี้คนที่เหนื่อยที่สุดก็เห็นจะเป็นพ่อนั่นแหละ
เมื่อเรือลงมานอนสงบเป็นที่เป็นทางและพ่อก็ตรวจดูรอยรั่วเรียบร้อยแล้ว จึงมีบัญชาอีกครั้งว่า “ณัฐ นันท์ ขูดเอาชันเก่าออก นิธ นุต เอากระดาษทรายไปขัดตรงที่พี่เขาขูดชันออก ส่วนแม่ก็ไปเข้าครัวได้แล้ว เพราะกองทัพต้องเดินด้วยท้อง โดยเฉพาะกองทัพที่มี หมูนิธเป็นทหารร่วมอยู่ด้วย”
พ่อไปซื้อชัน กับน้ำมันยาง น้ำมันก๊าด ปูนแดง เอามาเทผสมกันโดยไม่มี่สัดส่วนที่แน่นอน ถ้าอยากให้แห้งเร็วก็จะผสมน้ำมันก๊าดกับปูนแดงลงไปมากหน่อย แต่มันจะกะเทาะง่าย จากนั้นก็ปั้นเป็นเส้นยาวๆ เหมือนที่เราปั้นดินน้ำมัน แล้วจึงเอาไปปิดทับตรงที่เป็นรอยต่อของไม้ หรือตามรอยรั่ว แต่ตรงไหนที่เป็นรอยรั่วมากๆ เป็นร่องกว้างๆ ชันก็ปิดไม่อยู่ พ่อจะใช้ “หมัน” ซึ่งเป็นด้ายดิบคลุกกับชันและน้ำมันยางยัดตามแนวรั่วของเรือ ทำด้านนอกเรือแล้วพ่อก็ให้ช่วยกันหงายเรือ และก็ทำอาการเดียวกันกับด้านในเรืออีกครั้ง ซึ่ง การซ่อมแซมเรือวิธีนี้เขาเรียกกันว่า “ยาเรือ”
งานนี้กว่าจะเสร็จก็เกือบค่ำ ทุกคนต่างอ่อนล้าไปตามๆ กัน เสร็จแล้วก็ใช่ว่าจะเอาเรือลงน้ำได้เลย ต้องทิ้งไว้สักวัน หรือสองวัน เพื่อรอให้ชันแห้งสนิทก่อน
และแล้วก็ถึงวันที่ทุกคนรอคอย เพื่อจะได้เห็นฝีมือการยาเรือของตนเอง ตอนที่จะเอาเรือลง น้ำก็ขึ้นมาถึงพื้นโรงรถแล้ว เราช่วยกันยกเรือมาลงน้ำที่คูข้างบ้านด้วยใจระทึก ลุ้นกันว่า น้ำจะเข้ามาในเรือตรงไหนบ้าง แล้วเราก็ได้เฮกันลั่นในฝีมือของตนเอง ไม่มีน้ำหยดใดได้เล็ดลอดผ่านเรือเข้ามา พ่อถอนใจโล่งอก พี่ณัฐขอพ่อฉลองความสำเร็จ โดยการพาน้องๆ ทั้ง ๓ คน ลงเรือ พี่ณัฐพายท้ายเรือ พี่นันท์ยักแย่ยักยันอยู่หัวเรือ พี่นิธกะนุต นั่งกลาง โดยลืมไปว่าพี่ทั้งสองได้พายเรือครั้งสุดท้ายเมื่อ ๓ ปีที่แล้ว ดังนั้น เมื่อเรือลอยออกจากคูได้นิดเดียวพ่อกับแม่ก็ได้เห็นอาการและได้ยินเสียงโวยวาย
“เฮ้ยนันท์ นั่งลง นั่งกลางๆ เรือซิ มันเอียงแล้วเห็นมั้ย”
“ไอ้พี่ณัฐโว้ย จะชนต้นมะม่วงอยู่แล้ว ถือท้ายดีๆ หน่อย พายเรือเป็นอะป่าว”
“อยู่ข้างหน้า ก็ งัด งัด เข้าซิ”
พี่ทั้งสองทะเลาะกันจนลืมสังเกตน้องสองคนที่นั่งอยู่ตรงกลางเรือ พี่นิธเริ่มมองหาและตะโกนเรียกพ่อกะแม่สียงดังลั่น ส่วนนุตปล่อยโฮมาตั้งแต่พี่นันท์ขยับตัวจนเรือเอียงวูบน้ำไหลเข้าเรือจนเปียกก้น โชคดีที่พ่อยังลุยน้ำเก็บของยู่รอบๆ บ้าน จึงค่อยๆ บอกวิธีการ ให้พี่ณัฐและพี่นันท์ พายเรือมาจอดที่เดิมจนได้ พอทุกคนลงจากเรือพ่อก็เห็นน้ำเกือบครึ่งลำเรือ พ่อบ่นลูกๆ ว่า
“เล่นกันจนน้ำเข้าเรือเต็มไปหมด เล่นแล้วไม่รู้จักวิดน้ำออก” ว่าแล้วพ่อก็คว้าขัน มาวิดน้ำเสียเอง พ่อจึงได้เห็นว่าน้ำที่อยู่ในเรือไม่ได้มาจากการที่เรือเอียงเพียงอย่างเดียว แต่มาจากรอยรั่วที่หัวเรือ และที่กราบเรือ พ่อมั่นใจว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย โดยที่นึกไม่ถึงเลยว่า “เรื่องเล็กน้อยของพ่อจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ในเวลาต่อมา”
อ่านเรื่องการยาเรือเพิ่มเติมได้ที่ http://gotoknow.org/blog/riverlife/128103
ช่วยวิจารณ์ ติ ชม แก้ไข เป็นกำลังใจกันหน่อยค่ะ
หนูกล้วยแขก~natadee ทำให้หัวใจคนแก่กระชุ่มกระชวย ดีใจมีแก๊งหลานๆ หล่อๆ สวยๆ มาช่วยดู
ขอบคุณสำหรับหนังสือนะคะ
นี่ขนาดอ่านจากบล็อกแค่ตอนเดียวยังสนุกขนาดนี้
คงต้องรีบอ่านต่อให้จบแล้วละค่ะ
เป็นกำลังใจให้คุณแม่ด้วยคนนะคะ