ไม่อยากตาย ต้องพร้อมแล้วที่จะไม่เกิด
ถ้ายังอยากเกิดอยู่ ความไม่ตายจะเกิดขึ้นไม่ได้
เพราะความเกิดคู่กับความตาย และความตายคู่กับความเกิด
เมื่อยังอยากเกิดอยู่ ความตายก็ย่อมมีอยู่แน่นอน
ไม่อยากเกิดเมื่อไรเมื่อนั้นจะเดินทางไปสู่ความไม่ตายได้
เพราะพุทธเจ้า สมัยที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ นอกจากจะนิมิตเห็นความแก่ ความเจ็บป่วย และความตายเป็นทุกข์ น้อมจิตที่จะทรงผนวชเพื่อประพฤติพรหมจรรย์เพื่อหลีกหนีภาวะเหล่านั้นและเสด็จออกอภิเนษกรมณ์ในราตรีแรกที่พระโอรสทรงเกิด
ทรงเห็นการเกิดเป็นโซ่ตรวนผูกคล้องชีวิต ทรงอุทานออกมาว่า
“ราหุลา”
แปลว่าโซ่ตรวน พระโอรสจึงมีพระนามว่า “ราหุล” นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
โซ่ตรวนเกิดแล้ว นอกจากจะคล้องกายกับใจให้เห็นตัวตนเป็นพระโอรสของพระองค์แล้ว ถ้าขืนช้าอยู่ต่อไปเพียงชั่วข้ามคืน โซ่ตรวนดังกล่าวก็จะคล้องพระบิดา มิให้เสด็จออกอภิเนษกรมณ์ได้ เจ้าชายสัทธัตถะ จึงทรงหนีโซ่ตรวนไปในราตรีนั้น มิใช่หนีลูกแรกเกิด
พระองค์ทรงปรารถนาที่จะไม่เกิดอีกต่อไป
เมื่อเกิดขึ้นก็ดับอยู่ ความดับมันติดตามตั้งแต่แรกเกิดนั่นแหละทั้งตัวตนเบญจขันธ์ มันเกิดอยู่ดับอยู่ เกิดอยู่ดับอยู่ ดังกล่าวแล้ว ความดับของตัวตนคือดับแล้วเกิดเปลี่ยนแปลงไป ดับจากทารกเกิดเป็นเด็ก ดับจากเด็กเกิดเป็นหนุ่มสาว ดับจากหนุ่มสาวเกิดเป็นผู้ใหญ่ดับจากผู้ใหญ่เกิดเป็นคนแก่ชรา ดับจากแก่ชราเกิดเป็นคนเจ็บป่วย ดับจากคนเจ็บป่วยเกิดเป็นคนตาย ดับจากคนตายเกิดเป็นคนเกิดใหม่ ดับจากคนเกิดใหม่เกิดเป็นทารก เวียนวนอยู่เช่นนี้ เกิดกับตายหรือตายกับเกิดเหมือนจะเป็นสิ่งเดียวกันจนแยกไม่ออก
ต้องไม่มีภพ ไม่มีชาติ จึงจะไม่มีชรามรณะ
พระพุทธเจ้าทรงค้นหาวิธีตัดภพ ตัดชาติ ตัดภาวะแห่งชีวิตเพื่อไม่เกิด ความตายก็จะตามมาไม่ได้ เมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้พระนิพพานด้วยสอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ยังไม่ทรงตาย ได้ตรัสอยู่เสมอว่าการเกิดคือภพใหม่ไม่มีสำหรับพระองค์อีกแล้ว
เมื่อความหมายของคำว่า “เกิด” กับ “ตาย” โดยความจริงแทบจะเป็นคำเดียวกันจนแยกไม่ออก ความตายคือการเกิด ก็ต้องไม่มีสำหรับพระองค์ด้วย เช่นกัน พระพุทธเจ้าจึงทรงเป็นผู้ไม่ตายไม่เกิดมาตั้งแต่ตรัสรู้พระนิพพาน ด้วยสอุปาทิเสสนิพพานธาตุ
ท่านทรงเป็นพระอรหันต์ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงเป็นผู้ไม่ตายอันจะต้องเกิดอีก
ท่านปรินิพพาน
ความตายไม่เป็นสมบัติของพระอรหันต์ เป็นอมตมหาสมบัติหาซื้อไม่ได้ ตราบเท่าที่พุทธธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนายังปรากฏอยู่ เพียงพร้อมที่จะเป็นผู้ไม่เกิดก็พร้อมที่จะเป็นผู้ไม่ตายได้
ที่ซึ่งเป็นพระนิพพานไม่ว่าจะนิพพานด้วย สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ( ดับกิเลสมีเบญจขันธ์เหลือ) ไม่มีการตาย การเกิด ทั้งสิ้นดังที่พระพุทธองค์ทรงกล่าว
“....มิใช่การจุติ (การตาย) มิใช่การเกิดขึ้น...”
จุติจิต จิตดวงสุดท้ายของมนุษย์ที่จะเคลื่อนไปเป็นจิตดวงแรกเป็น ปฏิสนธิจิต ในภพใหม่ต้องแปรสภาพเสียก่อน ต้องแปรสภาพเป็นโลกุตตรจิตของพระอรหันต์ที่นิพพานด้วยสอุปาทิเสสนิพพานธาตุและเป็นจริมกจิต จิตดวงสุดท้ายจริง ๆ แล้วไม่มีจิตอะไรต่อไปอีกแล้ว สิ้นสุดหยุดจิตที่ดับเกิด เกิดดับ เป็นลูกโซ่ต่อเนื่องกันมานานแสนนานในโลกสงสาร สิ้นสุดหยุดรอบแห่งการหมุนเวียนว่ายตายเกิดต่อไป ชีวิตสัตวโลกเดินทางมานานหนัก เหนื่อยล้าอ่อนแรงมามากแล้วจะได้หยุดพักผ่อนสงบเย็นสบายก็ที่พระนิพพานนี้เท่านั้นที่อื่นนอกจากพระนิพพานไม่มี
ถ้าจำความเหนื่อยล้ามาหลายภพหลายชาตินั้นแล้วไม่ได้ คิดว่าเมื่อแรกเกิดเป็นการเริ่มชีวิตใหม่ แล้วไปสิ้นสุดลงเมื่อตายเท่านั้น ก็อาจไม่เหนื่อยล้าเท่าไร เครื่องมือมาร มรณะ และ ชาตะ ซึ่งเป็นมารกั้นมนุษย์ไม่ให้เห็นภพชาติของตน นี้ได้ผลนัก มนุษย์ไม่เห็นการเดินทางอันยาวนานของตน และหลงว่าเกิดขึ้นมาเดี๋ยวเดียวก็ตายไป ทำให้มนุษย์หลงติดภพชาติที่เป็นที่เกิดที่เห็นอยู่เฉพาะหน้าคิดว่าภพชาติของเรานี้น้อยนัก จึงต่างพากันรีบกอบโกยประโยชน์หยาบอยู่ทั่วไป กอบโกยไว้เพื่อความสุขส่วนตัวพรรคพวกตน แม้บางครั้งคิดจะทำทานทำบุญบ้างก็หวังผลประโยชน์สำหรับตนเพื่อคนอื่นพวกอื่นอย่างจริงใจแทบจะไม่มี พระพุทธเจ้าทรงเห็นกระแสธารน้ำใจมนุษย์เกือบทั้งหมดเป็นเช่นนี้เมื่อตรัสรู้ใหม่ ๆ ยังท้อพระทัยที่จะไม่ทรงแสดงธรรมอันทวนกระแสแก่สัตวโลก จนต้องร้อนถึงพรหมผู้เป็นใหญ่ มาปรากฏอาราธนาให้ทรงแสดงแด่เวไนยสัตว์ผู้พอมีอยู่
ภาพรวมของมนุษย์ชาติส่วนใหญ่เป็นเช่นนั้น เอาแต่ได้ เห็นแก่ตัว อยากเกิด แต่ไม่อยากตาย อยากจะอยู่ค้ำฟ้า ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าไม่เคยมีใครอยู่ได้เลยก็ตาม เจ้าตัวตัณหาความอยากจึงเป็นตัวแสดงนำละครชีวิตของสัตว์โลกทุกเรื่องไป และเป็นละครที่แสดงซ้ำซากไม่ไล่ไม่เลิกไม่ตายไม่จบ ในที่สุดก็จบลงด้วยความตายของมนุษย์ทุกคน ทุกภพ ทุกชาติ เป็นการจบที่โศกเศร้าเสียใจกันทุกตัว ไม่เห็นมีตัวไหนที่จบลงอย่างแฮปปี้เอนดิ้งสักตัวหนึ่ง
อยู่ดูไปทำไมกัน ละครน้ำเน่าเศร้าโศกอย่างนี้ มีแต่ความรันทดหดหู่ ไม่สนุกเลย
มาทวนกระแสละครมนุษย์กันดูบ้าง ดูละครสร้างสรรค์ที่พระพุทธองค์ตรัสรู้แล้วทรงนำมาบอกกล่าวเล่ากัน แต่ละเรื่องแต่ละบทประทับใจนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ทั้งนั้น ดีด้วย วิเศษด้วยเป็นความจริงอันประเสริฐและนำไปสู่ความไม่ตายได้อย่างแท้จริงอีกด้วย
องค์ละครแต่ละองค์ในพระพุทธศาสนาที่เห็นองค์เอกสำคัญ ๆ ปรินิพพานทั้งนั้นไม่ตายสักองค์เดียว ผู้นิพพานสู่ความเกษม ไม่กลับมาเศร้าโศกเสียใจอีกเลย พวกพ้องที่ยังอยู่ถ้ารู้ตามเห็นตามบ้างก็จะไม่เศร้าโศกเสียใจใหญ่หลวงหนัก เพราะรู้เท่าทันว่าละครองค์เอกเหล่านั้นไปดีมีความเกษม ละครเลิกแล้ว ผู้นิพพานเหล่านั้นไม่กลับมาสู่ความทุกข์เหมือนเราอีกแล้ว
พวกเราเล่าจะจะเลือกไปทางไหน ไปในละครน้ำเน่าตามกระแสหรือในละครน้ำดีที่ทวนกระแส โรงละครน้ำดีมีอยู่ทั่วไปในบ้านเมืองเราที่วัด ที่พระ ที่พุทธบริษัท ที่พุทธศาสนิกชน ซึ่งปฏิบัติดีประพฤติชอบตามหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แต่ละครน้ำดีในจอโทรทัศน์ซึ่งมีอยู่แทบทุกบ้านในประเทศเรามีน้อยจัง
สื่อโทรทัศน์ ธุรกิจอันดับต้น ๆ ของมหาเศรษฐีไทย คงจะเห็นว่าชีวิตเริ่มต้นเมื่อเกิดและสิ้นสุดเมื่อตายดังกล่าวจึงไม่กล้าสร้างสรรค์ละครน้ำดีให้ท่วมท้น พุทธธรรมในพระพุทธศาสนาจึงยังมีความท้อแท้ที่จะสร้างสรรค์ธรรมวิเศษของพระพุทธเจ้าให้ปรากฏแก่ชาวโลกได้ง่ายเพราะกระแสมนุษย์คือกระแสเงินตราอันหยาบกร้านมากกว่าที่จะเป็นเศรษฐีอมตมหาสมบัติอันประณีต มนุษย์ฝ่ายน้ำดีจึงต้องรอชาติหน้าตอนโพล้เพล้ หวังว่าอาจได้ชมละครน้ำดีแห่งพุทธให้จุใจกันได้บ้าง
ไม่เป็นไร พุทธบริษัททั้งหลาย แม้จอโทรทัศน์ไม่เปิดโอกาสให้ความดีที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้มาเผยแผ่ได้มากนัก จอโทรจิตในตัวท่านย่อมไม่มีใครมาห้ามได้ที่จะนำธรรมวิเศษมาเผยแผ่แก่ตัวเองเท่าไรก็ได้โทรจิตคิดปุ๊บปรากฏปั๊บ ไม่ต้องเสียค่าโทรทัศน์ ค่าไฟฟ้า และค่าอะไรอีกจิปาถะ จะเปิดเมื่อไรก็ได้ ดูเมื่อไรก็ได้ ไม่ต้องมาเสียเวลารอนิพพานกับจอโทรทัศน์โลก ซึ่งนับวันจะเพิ่มละครน้ำตรงข้ามกับน้ำดียิ่ง ๆ ขึ้นไปทุกชาติ ทุกชาติ ไม่มีวันลดลงหรอกน่า
ตนเป็นที่พึ่งแก่ตน อย่าไปรอให้ใครช่วย คนที่บอกว่าจะช่วยโน่นช่วยนี่ก็ได้แต่บอกหลอกให้หลง เพราะคนที่เขาจะช่วยจริง ๆ เขาไม่บอก ท่านช่วยอยู่แล้ว ได้แล้วโดยที่เราไม่รู้ก็มีมาก
“พุทโธ ธัมโม สังโฆ”
พุทธบริษัทเมื่อเข้าตาจนเมื่อไรจะต้องพึมพำคาถาบทนี้ทุกที
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ท่านช่วยแล้วช่วยอีกนับครั้งไม่ถ้วน แล้วเราไม่ค่อยได้รู้ระลึกกัน
พอถึงสมัยใดฤดูมืออ่อนปากหวาน มาหาเสียงถึงบ้านหลอกจะช่วยโน่นช่วยนี่ละก้อเชื่อกันเป็นตุเป็นตะจนลืมนึกถึง “ไม่อยากตายต้องพร้อมแล้วที่จะไม่เกิด” ไปเลย
นี่แหละที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า
“ธรรมที่พระองค์ตรัสรู้เป็นธรรมที่ทวนกระแส (โลก)”
*********************************************************************
ข้อมูลที่ใช้ในการเรียบเรียง : "ตายเป็นอย่างนี้นี่เอง" โดย บัญช์ บงกช
ไม่มีความเห็น