ปรินิพพานญาณ
จากพระไตรปิฎกฉบับมหามกุฎฯ อรรถกถาแปลเล่มที่ 68 หน้า 895-898 พระสูตรขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่มที่ 7 ภาคที่ 1 กล่าวถึงคำว่า “ปรินิพพานญาณ” ไว้ว่า
“ความเป็นไปแห่งตานี้แลของสัมปชาน บุคคล (ผู้รู้ตัว) ผู้นิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ (ดับกิเลสและดับขันธ์) ย่อมสิ้นไป และความเป็นไปแห่งตาอื่นย่อมไม่เกิดขึ้น ความเป็นไปแห่งหู ฯลฯ ความเป็นไปแห่งจมูก ฯลฯ ความเป็นไปแห่งลิ้น ฯลฯ ความเป็นไปแห่งกาย ฯลฯ ความเป็นไปแห่งใจนี้แล ของสัมปชานบุคคลผู้นิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุย่อมสิ้นไป และความเป็นไปแห่งใจอื่นย่อมไม่เกิดขึ้น ปัญหาแห่งความสิ้นไปแห่งความเป็นไปแห่งกิเลสและขันธ์ของสัมปชานบุคคลนี้เป็น “ปรินิพพานญาณ”
ชื่อว่าญาณเพราะอรรถว่ารู้ธรรมนั้นชื่อว่าปัญญาเพราะอรรถรู้ว่าชัด เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า
“ปัญญาในความสิ้นไปแห่งความเป็นไปแห่งกิเลสและขันธ์ของบุคคลผู้รู้สึกตัวเป็นปรินิพพาน”
อรรถกถาปรินิพพานญาณ
พึงทราบวินิจฉัยในปรินิพพานญาณนิทเทส (คำอธิบาย) ดังต่อไปนี้
....สัมปชาโน คือผู้รู้สึกตัว เป็นการรู้สึกตัวด้วยสัมปชัญญะ 4 เหล่านี้ คือ
สาตถกสัมปรัชญะ ความรู้ตัวในกิจที่เป็นประโยชน์แก่ตัว 1
สัปปยสัมปชัญญะ ความรู้ตัวในปัจจัยที่สบาย 1
โคจรสัมปรัชญะ ความรู้ตัวในธรรมอันเป็นโคจร 1
อสัมโมหสัมปชัญญะ ความรู้ตัวในความไม่หลงงมงาย 1
ดังกล่าวข้างต้นคำว่า ปรินิพพานนั้นเป็นคำกล่าวของท่านพระสารีบุตรเถระ แสดงถึงปัจจเวกขณญาณ (ในการดับขันธ์ด้วย อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ (ญาณพิจารณาด้วยความรู้สึกตัวอยู่ทุกขั้นตอนใน 4 ประการดังกล่าว ขณะที่ทำปรินิพพานบริกรรมเพื่อดับขันธ์ 5 อันรัดดึงอยู่เป็นครั้งสุดท้าย ) เป็นการรู้ตัวที่มีจุดหมายแน่นอนเพื่อหลุดพ้นความเกษม ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความหลงเหลือเจือปนอยู่เลย
จึงไม่มีลักษณะเหมือนอาการตายหรือตายแต่ประการใด กลับตรงกันข้ามกับอาการตายหรือตายของสัตว์โลกทั้งหลายจากหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว เมื่อได้พิจารณาเปรียบเทียบลักษณะของอาการตายหรือตายดังต่อไปนี้
มรณะ หรือ ตาย
สมัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรู้ใหม่ ๆ ประทับอยู่ที่โคนไม้โพธิ์ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชราที่ตำบลอุรุเวลา พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งเสวยวิมุตติสุขด้วยบัลลังก์อันเดียวตลอด 7 วัน พอสัปดาห์นั้นล่วงไปพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากสมาธิได้ทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาท อันเป็นอนุโลมด้วยดีตลอดปฐมยามแห่งราตรีดังนี้ว่า เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ก็มี เพราะสิ่งนี้เกิด สิ่งนี้จึงเกิด คือเพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัยมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงมีผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัยมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงมีมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ย่อมมีได้ด้วยประการอย่างนี้...
เป็นการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์โลก ในลักษณะปฏิจจสมุปบาท คือเมื่อมรณะคือตายจะต้องมีความโศกเศร้า เป็นทุกข์ เป็นความหลง เป็นบ่อเกิดแห่งอวิชชาให้ไปเกิดสังขารใหม่อีก
ตามพระไตรปิฎกฉบับมหามกุฏ ฯ อรรถกถาแปลเล่มที่ 44 หน้า 67 พระสูตร ขุททกนิกายอุทาน ภาคที่ 3 อรรถกถาปฐมโพธิสูตรไว้ว่า
มรณะ (ตาย) มีจุติ (การเคลื่อนไปเกิดใหม่) เป็นลักษณะ มีการพลัดพรากเป็นกิจ มีการอยู่ปราศจากคติ (ทางไป) เป็นอาการปรากฏ
โสกะ มีความหม่นไหม้ในภายในเป็นลักษณะ มีความตรมตรอมใจเป็นกิจ มีความเศร้าโศกเป็นอาการปรากฏ
ปริเทวะ มีความบ่นเพ้อเป็นลักษณะ มีระบุถึงคุณและโทษเป็นกิจ มีความสลดใจเป็นอาการปรากฏ
ทุกข์ มีการบีบคั้นกายเป็นลักษณะ มีความทุรพลทางกายและรั้งเอาโทมนัสทุกข์ทางใจมาเป็นกิจ มีอาพาธทางกายเป็นอาการปรากฏ
โทมนัส มีการบีบคั้นจิตเป็นลักษณะ มีความคับแค้นใจเป็นกิจ มีพยาธิทางใจเป็นอาการปรากฏ
อุปายาส มีความตรมตรอมใจเป็นลักษณะ มีความทอดถอนถึงเป็นกิจ ปราศจากความแช่มชื่นใจเป็นอาการปรากฏ
ปัจจัยธรรมมีอวิชชาเป็นต้นเหล่านี้
จะเห็นได้ชัดว่า มรณะ หรือการตายของสัตว์โลก เป็นสัมโมหะเป็นความหลง เป็นความทุกข์เทวษทวี เป็นอวิชชา เป็นปัจจัยที่จะนำไปเกิดเป็นสังขารใหม่ต่อไปตามกรรมดีกรรมชั่วอีก
จึงกล่าวได้ว่า “ปรินิพพาน” หรือ “นิพพาน” ไม่ใช่เป็นอาการตายหรือตาย แต่กลับมีธรรมลักษณะตรงข้ามกันเหมือนหน้ามือกับหลังมือฉะนั้น
จิตสุดท้ายของปรินิพพานกับการตาย
จริมกจิต เป็นจิตดวงสุดท้ายซึ่งจะดับไปเมื่อพระอรหันต์ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ
จุติจิต เป็นจิตดวงสุดท้ายแห่งการตายของสัตว์โลกซึ่งจะต้องเคลื่อนจากภพปัจจุบันไปเกิดในภพใหม่ (เป็นปฏิสนธิจิตอีก)
จิตดวงสุดท้ายที่จะดับขันธปรินิพพานกับการตายก็เป็นคนละดวงกัน พระอรหันต์ผู้รู้สึกตัวด้วยสัมปชัญญะ 4 เพื่อทำปรินิพพานบริกรรมด้วยปรินิพพานดังกล่าว จิตดวงสุดท้ายเป็นจริมกจิตซึ่งเมื่อดับไปแล้วไม่มีเชื้อแห่งกรรมแพร่ออกไป ไม่เป็นที่ตั้งแห่งวิญญาณธาตุธรรมชาติที่จะเข้าเกาะเกี่ยวได้จึงไม่มีสิ่งใดจะปรุงแต่งนำไปปฏิสนธิในเกิดในภพใหม่ต่อไป
ส่วนจิตดวงสุดท้ายของการตายแห่งสัตว์โลกเป็นจุติจิต ซึ่งเมื่อดับไปยังมีกรรมแพร่ออกไปให้เป็นที่ตั้งของวิญญาณธาตุที่มีอยู่ทั่วไปเข้าเกาะเกี่ยวปรุงแต่งตามผลของกรรมดีกรรมชั่วนั้นแล้วนำไปปฏิสนธิเกิดในภพใหม่เป็นสัตว์ใหม่ต่อไปอีก
การเสด็จดับขันธปรินิพพานของพระพุทธเจ้าและการดับขันธปรินิพพานของพระอรหันต์ทั้งหลายจึงมิใช่เป็นอาการตายหรือตายของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์แต่อย่างใด
พระอานนท์เมื่อยังไม่บรรลุอรหันต์ ก็เข้าใจว่านิพพานคือตาย
คราวเมื่อท่านพระสารีบุตรเถระดับขันธปรินิพพาน หรือ นิพพาน (สมัยพุทธกาลเรียกการนิพพานของพระอรหันต์ว่าปรินิพพาน บ้าง นิพพานบ้าง)
สมัยนั้นพระอานนท์ทราบข่าวการปรินิพพานของพระสารีบุตรก็โศกเศร้า ได้เข้าและกราบทูลพระพุทธองค์ว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สามเณรจุนทะรูปนี้ได้บอกอย่างนี้ว่าท่านพระสารีบุตรปรินิพพานแล้ว นี้บาตรและจีวรของท่าน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กายของข้าพระองค์ประหนึ่งจะงอมระงมไป แม้ทิศทั้งหลายก็ไม่ปรากฏแก่ข้าพระองค์ แม้ธรรมก็ไม่แจ่มแจ้งแก่ข้าพระองค์เพราะได้ฟังว่าท่านพระสารีบุตรปรินิพพานแล้ว
พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า
-->> “ดูก่อนอานนท์ สารีบุตรพาเอาศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุตตติขันธ์ หรือวิมุตญาณทัสสนขันธ์ ปรินิพพานไปด้วยหรือ”
พระอานนท์กราบทูลว่า
“หามิได้พระเจ้าข้า”
เพราะพระอานนท์ยังมีความรู้สึกอยู่ว่าปรินิพพานก็เหมือนการตายนั่นเองจึงเศร้าโศกเสียใจ พระพุทธองค์จึงทรงกล่าวเตือนสติให้รำลึกได้ว่า การปรินิพพานมิใช่การตายที่จะต้องโศกเศร้าเสียใจดังที่พระอานนท์เป็นอยู่ จึงทรงยกสภาวะของความเป็นพระอรหันต์ของพระสารีบุตรซึ่งทรงเป็นด้วย ศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุตติขันธ์ และวิมุตติญาณทัสสนขันธ์ ขึ้นมาแสดงให้เห็นว่า สภาวะของอรหันตสารีบุตรนั้นยังอยู่ครบถ้วน มิใช่ตายไปดังที่พระอานนท์เข้าใจว่าปรินิพพานก็คือการตายนั่นเอง
เป็นการทรงให้สติพระอานนท์ว่า ปรินิพพานมิใช่ตายดังกล่าวที่จะต้องเศร้าโศกเสียใจ
อริยวาสธรรม
ธรรมเป็นที่อยู่ของพระอริยเจ้า 10 ประการ
จากหนังสือ “ปุจฉาวิสัชนา” ว่าด้วยการปฏิบัติธรรมซึ่งชมรมพุทธศาสตร์เอสโซ่พิมพ์เป็นที่ระลึกในโอกาสครบรอบ 5 ปี ของชมรม 2521-2526 มีตอนหนึ่งซึ่งผู้ปุจฉา (ผู้ถาม) ใช้อักษรย่อว่า ผ. ผู้วิสัชนา (ผู้ตอบ) ใช้อักษรย่อว่า ฝ. ได้ถามตอบกันดังต่อไปนี้
(ผ) พูดว่า นึก ๆ ก็น่าอัศจรรย์ใจเรื่องพระนิพพาน สังขารทั้งหลายดับไปหมดแล้วจะไม่มีอะไรที่ไม่ใช่สังขาร คือสิ่งที่เหลืออยู่เพราะพระนิพพานนั้นเป็นวิสังขาร ข้าพเจ้าไม่ใส่ใจในเรื่องพระนิพพานเพราะนึกถึงแล้วทำใจให้ฉงนสนเท่ห์ ตกลงประพฤติปฏิบัติเรื่อย ๆ ไปถึงพระนิพพาน เมื่อไหร่ก็รู้ได้เอง
(ฝ) พูดว่าพระนิพพานไม่ใช่สูญ คือการเก่าดับไปของใหม่เกิดแทน เช่นพระโสดาบันละสังโยชน์ 3 ได้หมด ทุกข์มีชาติเป็นต้นก็ดับไปได้มาก และมีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้มีอริยมรรคกำหนดแน่แล้ว มีอันจะตรัสรู้ได้เองในเบื้องหน้าเพราะละสักกายทิฏฐิหมดไปจึงมีสัมมาทิฏฐิเกิดขึ้นแทนและละวิจิกิจฉาหรือสีลัพพตปรามาสหมดไปจึงมีอจลสัทธามาแทน เช่นพระสกทาคามีทำราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาบางจะมาเกิดในโลกนี้อีกคราวเดียวเท่านั้น ก็จะถึงที่สุดแห่งทุกข์นี่เรียกว่าทำของเก่าให้หมดไปจึงมีของใหม่เกิดขึ้นแทน คือคุณธรรมที่ยิ่งกว่าพระโสดาบันขึ้นไป
ส่วนพระอนาคามีละสังโยชน์ 5 เบื้องต่ำได้แล้วเกิดในสุทธาวาสพรหมโลกและจักปรินิพพานในที่นั่นเรียกว่าทำกิเลสและชาติภพซึ่งเป็นของเก่าให้หมดไปของใหม่เกิดขึ้นแทน คือ ท่านสิ้นไปจากกามราคะสังโยชน์จึงถึงพร้อมด้วยองค์คุณกล่าวคือใจที่สงัดจากกามมาแทนและท่านสิ้นไปจากปฏิฆะสังโยชน์จึงถึงพร้อมด้วยองค์คุณคือ เมตตา กรุณา มาเกิดแทน
พระอริยสาวกที่ได้บรรลุเสขคุณแล้วชื่อว่าสอุปาทิเสสนิพพาน ส่วนพระอรหันต์ละตัณหาความอยากสิ้นแล้ว สิ้นอาสวะอยู่จบพรหมจรรย์แล้ว มีกิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว ปลงภาระแล้วจึงมีประโยชน์ตนถึงโดยลำดับแล้วสังโยชน์ในภพสิ้นแล้ว พ้นวิเศษแล้ว เพราะรู้ทั่วถึงด้วยอาการอันชอบ ส่วนกิเลสอาสวะที่พระอรหันต์ได้หมดสิ้นเชิงและสิ้นชาติไม่มีปฏิสนธิในภพ คืออนุปาทิเสสปรินิพพานนี้ชื่อว่าทำของเก่าคือสมุทัยกับทุกข์ให้หมดไปของใหม่เกิดขึ้นแทนนั้นคือถึงพร้อมด้วยคุณธรรมที่เรียกว่า อริยวาสธรรม คือ ธรรมเป็นที่อยู่ของพระอริยเจ้า 10 ประการ
1. ปญฺจงฺควิปฺปหิโน มีองค์ 5 คือนิวรณ์อันละเสียแล้ว
2. ฉฬงฺคสมนฺนาคโต ประกอบด้วยองค์ 6 คือฉฬังคุเบกขา
3. เอการกโข มีธรรมรักษาทั่วกันอันหนึ่งคือสติ
4. จตุราปสเสโน มีธรรมดั่งพนักเป็นที่อิง 4 อย่าง คือพิจารณาแล้วจึงส้องเสพ อดทน ถ่ายถอน
5. ปนุณณปจเจกสจโจ มีของจริงเฉพาะอันหนึ่งบรรเทาเสียแล้ว คือละมิจฉาทิฏฐิ 10 อันเป็นอพยาตวัตถุมีเห็นรูปเที่ยงเป็นต้น
6. สมวยสฏเฐสโน มีความแสวงหาอันให้สะเทือนละเสียโดยชอบแล้ว คือละความแสวงหา 3 อย่าง กาม 1 ภพ 1 พรหมจรรย์ 1
7. อนาวิลสงกปโป มีความดำริอันไม่ขุ่นมัว คือละความดำริที่ประกอบด้วยกิเลสกาม วัตถุกาม และวิตกที่ประกอบด้วยพยาบาท และวิเหสา
8. ปสสทธกายสงขาโร มีกายสังวร คือลมอัสสาสะระงับแล้ว คือ บรรจุจตุตถญาณ
9. สุวิมุตตจิตโต มีจิตพ้นวิเศษดีแล้ว คือมีจิตพ้นจากราคะ โทสะ โมหะ
10.สุวิมุตตปญโญ มีปัญญาพ้นวิเศษแล้ว คือรู้ชัดว่า ราคะ โทสะ โมหะ เราละเสียหมดแล้วดังนี้
(ผ) กล่าวว่า สาธุ ท่านอธิบายธรรมชั้นสูงให้ข้าพเจ้าเข้าใจได้แจ่มแจ้งดีในเรื่องพระนิพพานคือของเก่าได้แก่สมุทัยกับทุกข์ดับไปจึงมีคุณธรรมของใหม่เกิดขึ้นแทน ซึ่งเป็นธรรมที่ไม่กำเริบเพราะมิใช่สังขาร เพราะฉะนั้นพระนิพพานจึงไม่สูญ ข้าพเจ้าขออนุโมทนาความสามารถรอบรู้ในธรรมที่ละเอียดเหล่านั้นกะท่านด้วย[/b]
คำว่า พระนิพพานไม่สูญตามปัจฉาวิสัชนานี้หมายถึง การดับขันธนิพพานด้วยอนุปทิเสสนิพพานธาตุ เป็นการสูญสิ้นไปแห่งขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่มีสิ่งที่ไม่สูญสิ้นไปคือ ธรรมขันธ์ 5 ได้แก่ ศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุตติขันธ์ และวิมุตติญาณทัสสนขันธ์ ยังคงอยู่เป็นพระอรหันต์ที่วิสุทธิ์แน่แท้ความครบถ้วนบริบูรณ์
ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า ปรินิพพานหรือนิพพานมิใช่การสูญเปล่าซึ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิแบบอุจเฉททิฏฐิ ซึ่งมีความเห็นว่าคนและสัตว์จุติจากอัตภาพนี้แล้วขาดสูญ และมิใช่เป็นอาการตายหรือตายซึ่งจะต้องเกิดอีกเหมือนสัตว์โลกที่ยังยึดมั่นอยู่ในอัตภาพไม่รู้จบอันเป็นมิฉาทิฏฐิแบบสัสสตทิฏฐิ คือความเห็นว่าเที่ยงเช่นเห็นว่าคนและสัตว์ตายไปแล้วร่างกายเท่านั้นทรุดโทรมไป ส่วนดวงชีพหรือเจตภูตที่เรียกว่าวิญญาณแล่นไปท่องเที่ยวไปเกิดใหม่
ทรงสู่นครอมตมหาปรินิพพาน
ในวันปรินิพพาน (เสด็จดับขันธปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสส นิพพานธาตุ) พระพุทธองค์ทรงรำลึกว่า
“วันนี้ เดี๋ยวนี้เราจะเข้าไปสู่นครอมตมหาปรินิพพานที่พระพุทธเจ้าหลายแสนพระองค์เข้าไปแล้ว”
(อรรถกถามหาปรินิพพานสูตร พระไตรปิฎกมหามกุฏฯ เล่มที่ 13 หน้า 411)
พระพุทธเจ้าองค์แท้คือองค์ธรรม ทรงละพุทธสรีระขันธ์ 5 เสด็จเข้าสู่อมตมหาปรินิพพานซึ่งเปรียบเหมือนมหานครแห่งความเกษมที่เป็นอมตะ (แต่ไม่ใช่เป็นนครที่เป็นอัตตาตัวตน) ส่วนจะเป็นสภาวะอย่างใดนั้นไม่อาจอธิบายได้ เป็นการพ้นวิสัยของปุถุชน เพียงแต่รับรองได้ตามพุทธพจน์ที่ตรัสว่า
“ในนิพพาน อายตนะมีอยู่ (อายตนะคือเครื่องรู้และสิ่งที่รู้)”
คงพิจารณาได้ว่าในสภาวะที่เปรียบเทียบเสมือนอมตนครนั้นมีความเกษมที่แน่แท้ไม่มีวันหมดไม่มีวันกลับมาทุกข์อีกเลยตลอดนิรันดร์กาล
-->> พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ปรากฏมีมาแล้วนับหลายแสนและพระอรหันต์ทั้งหลายอีกจำนวนมากสถิตเสถียรในลักษณะ อนัตตธรรมอสังขตธรรมเป็นอมตธรรมอยู่ที่นั่นมิได้ตายดังที่มีกล่าวคลาดเคลื่อนกัน
17 เมษายน 2553
อยากถามว่า พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว 2,500 กว่าปี ในขณะนี้พระพุทธเจ้ายังมีขันธ์ 5 อยู่หรือเปล่า มีแดนเกิด มีภพที่อยู่หรือเปล่า และมีอัตตาหรือเปล่า ผู้รู้ช่วยตอบหน่อย....