ระลอกคลื่นบังน้ำใส


 

Inspire03_44

 

     เมื่อคืนที่ผ่านมาได้ฟังธรรมเทศนาของ พระอาจารย์อำนาจ โอภาโส เรื่อง "ระลอกคลื่นบังน้ำใส" ที่ http://www.fungdham.com/sound/umnath.html  หรือ Download ตรงได้ที่ http://www.fungdham.com/download/vdo-others/umnath-wave.wmv โดยส่วนตัวผมแล้ว มองว่าเป็นพระธรรมเทศนาที่สุดยอดอีกครั้งหนึ่ง เหมาะกับผู้ที่กำลังมองหาแนวทางปฏิบัติ จึงขอนำมาถอดบทเรียนแบบตัดแต่งองค์ความรู้ผ่านการปรุงแต่งเพิ่มเติมตามมุมมองของผมดังนี้ครับ

  • การปฏิบัติธรรมนั้นสามารถปฏิบัติได้ทุกที่ทุกเวลา โดยมีกายเป็นสถานที่ปฏิบัติ มีใจเป็นเครื่องมือในการปฏิบัติ
  • การปฏิบัติธรรมไม่ใช่การลด ละ ทิ้งตัวตน เพราะความจริงโดยปรมัตรแล้ว ไม่มีตัวตนอยู่เลย
  • กายก็ไม่ใช่ของเรา จิตก็ไม่ใช่ของเรา จึงไม่จำเป็นต้องกำหนด ลด โลภ โกรธ หลง เพียงแต่มีสติสัมปะชัญญะตามดูให้รู้ว่าเป็นสภาวะธรรม เป็นเรื่องธรรมดา เป็นธรรมชาติ ของกายและจิต ไม่ใช่ของเรา
  • การปฏิบัติธรรมนั้นก็คือการมีสติอยู่กับเนื้อกับตัว อยู่กับปัจจุบัน กายผสานกับจิต ดูสภาวะธรรมให้เห็จสัจธรรมที่เป็นปรมัตรนั่นเอง
  • สรรพสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
  • ไม่มีเรา มีแต่ทิฎฐิที่ตั้งไว้ เมื่อสิ่งที่มากระทบไม่ตรงกับทิฏฐิก็เป็นทุกข์
  • ท่ามกลางความเร้าร้อนของความปรุงแต่ง ความใส ความสงบหรือจิตอันประภัสสรก็อยู่ที่นั่นไม่ได้หายไปไหน
  • ทุกเมฆฝนมีบ้างไหมที่ไม่หยดลงมาเป็นน้ำ ทั้งคิดดี คิดไม่ดี ทุกการปรุงแต่งต่างเปลี่ยนแปลงเกิดดับ
  • ท่ามกลางระลอกคลื่น ท่ามกลางความเคลื่อนไหว ก็มีความใส ความสงบอยู่
  • มีสติอยู่กับปัจจุบัน จิตก็ไม่เผลอ ไม่ปรุงแต่ง
  • โลภ โกรธ หลง ไม่มีตัวตน เป็นแค่สภาวะธรรม ตามรู้ให้เท่าทันมันก็ดับ มันไม่ใช่เรา
  • คำว่า "เรา" เกิดจากความคิดปรุงแต่ง จริง ๆ ไม่มีเรา เมื่อมีเราเมื่อไหร่ จรรไลเมื่อนั้น
  • หยดน้ำหล่นถูกผิวมหาสมุทร  ต้องถูกตรงไหน ถูกเวลาไหน ถึงจะรวมในมหาสมุทร คือ การปฏิบัติธรรมได้ทุกที่ทุกเวลาขอให้เรารู้สึกตัว
  • ทุกอย่างมีอาหาร มีเหตุปัจจัยหมด
    การเสวนากับสัตบุรุษเป็นอาหารการฟังธรรม
    ฟังธรรม เป็นอาหารให้กับ ศรัทธา เชื่ออย่างมีเหตุผล
    ศรัทธาเป็นอาหารให้กับโยนิโสมนสิการ ทำให้รู้จักแยกแยะในใจ
    โยนิโสมนสิการเป็นอาหารให้กับสติสัมปะชัญญะ เกิดสติ ระลึกรู้ตัว
    สติสัมปะชัญญะเป็นอาหารให้กับอินทรีย์สังวรงอกงามขึ้นมา ไม่ประมาท ตากระทรูป หูกระเสียง 
    อินทรีย์สังวร เป็นอาหารให้กับศีล ไม่ก่อความผิดทางกาย วาจา ใจ 
    มีศีล ทำให้เกิดสัมมาสมาธิงอกงาม ตั้งมั่น
    ศีลทำให้เกิดปัญญาเห็นเห็นความเป็นจริงของสรรพสิ่ง
    ทุกอย่างเป็นกระบวนการอาหาร เราทำปลายทางไม่ได้ เราจึงทำต้นทางให้ดี

 

  • เนื้อหาบังสภาวะเดิม เราเห็นแต่อาการแต่ไม่เห็นสภาวะเดิมของมัน
  • ขันธ์ 5 มันทำงานของมัน จิตมันทำงานของมัน ความคิดปรุงแต่งหรือสมมติ อย่าไปดูเนื้อหา แต่ให้ดูให้รู้ว่า จิตกำลังคิดอยู่ เวทนา ก็ไม่ใช่เรา วิญญาณก็ไม่ใช่เรา เราต้องดูขันธ์ 5 ให้เป็น
  • ตัวรู้ หรือ สติ เป็นกุศล ปิดกั้นอกุศลไม่ให้ทำงาน ไล่อกุศล ทำให้กุศลงอกงาม
  • ถ้าอกุศลเกิดขึ้นอย่าไปไล่มัน ไม่ต้องรังเกลียด ไม่ต้องปรุงแต่งสู้กับมัน แค่ดูและรู้ก็พอ เหมือน ความมืดเกิดขึ้นมา เราไม่ได้ไปไล่ความมืด แค่เราเปิดไฟให้สว่าง ความมืดก็หายไปเอง เสมือนความคิดฟุ้งซ่านต่าง ๆ เราไม่ต้องไปไล่ดับมัน แค่มีสติอยู่กับปัจจุบัน ตามดูมัน
  • หน้าที่ของ "สติ" คือ อารักขาจิต จิตเราปภัสสรอยู่แล้วแต่เดิม

 

 

หมายเลขบันทึก: 215423เขียนเมื่อ 10 ตุลาคม 2008 09:30 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:41 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

                    จิตมันจะแกว่งอยู่เรื่อยครับ 

                    รู้ว่าแกว่งแต่ก็เอาไม่ค่อยอยู่

                    แต่จะพยายามไม่ให้มันแกว่งไปมากกว่านี้

                                     ขอบคุณครับ

 

           

สวัสดีครับ

P

 

  • ขอบคุณที่แวะมาทักทายครับ
  • ขอให้เจริญในธรรมเช่นกันครับ

 

เรียนท่านรองฯ

P

 

  • หลวงพ่ออำนาจท่านสอนว่า ... กายก็ไม่ใช่ของเรา จิตก็ไม่ใช่ของเรา...ในความจริงที่เป็นปรมัตรเมื่อจิตไม่ใช่ของเรา ก็เป็นธรรมดาที่เราจะควบคุมไม่ได้
  • ลองฟังธรรมเทศนาของ พระอาจารย์อำนาจ โอภาโส เรื่อง "ระลอกคลื่นบังน้ำใส" ที่ http://www.fungdham.com/sound/umnath.html ลองพิจารณาดูนะครับ
  • ขอบพระคุณที่แวะมาเยี่ยมครับ

 

 

 

 

สวัสดีครับ

P

 

  • ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยม อย่าลืมนำธรรมเทศนากลับได้ด้วยนะครับ
  • วันนี้ตื่นนอนประมาณตีสี่ครื่ง ซึ่งเช้ากว่าปกติ เพราะต้องเตรียมตัวไปสอนที่จังหวัดนครราชสีมา จึงมีโอกาสได้ฟังธรรมบทนี้แต่เช้าตรู่อีกรอบหนึ่ง ทำให้เข้าใจมากขึ้น ดีขึ้น ค่อยเป็นค่อยไปครับ

พระนิพพานจากครูบา อาจารย์

หลวงปู่ทวด(เหยียบน้ำทะเลจืด)

"วิปัสสนาคือให้พิจารณาในทุกสิ่งทุกอย่างว่าเป็นอนัตตา อนัตตาคือการเดินทางไปสู่โลกแห่งนิพพาน โลกเรานี้เป็นโลกแห่งอัตตา"

หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

"พระนิพพานอุปมาขนาดเท่าเส้นผม ผู้ที่จะผ่านพ้นในขั้นสุดท้ายไปได้หรอืไม่ได้อยู่เพียงนิดเดียวในการทำจิตตัดจุดนี้ได้หรือไม่เท่านั้น พระพุทธเจ้าตอนที่ท่านจะปรินิพพาน ท่านได้ปรินิพพานไประหว่างรูปฌานและอรูปฌาน เป็นการดับขันธ์ด้วยความบริสุทธิ์เหนือสมมติโดยสิ้นเชิง"

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี

"นิพพาน คือว่างจากกิเลส จิตวิญญาณของพระอรหันต์ไม่สูญ ที่วิญญาณสูญนั่นคือวิญญาณในขันธ์ ๕ เท่านั้น"

พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ

"สรณะทั้ง ๓ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มิได้เสื่อมสูญอันตรธานไปไหน ยังปรากฏอยู่แก่ผู้ปฏิบัติเข้าถึงอยู่เสมอ ผู้ใดยึดถือเป็นที่พึ่งของตนแล้ว ผู้นั้นจะอยู่ในกลางป่า หรือเรือนว่างก็ตาม สรณะทั้งสามก็ปรากฏแก่เราอยู่ทุกเมื่อ"

หลวงพ่อเกษม เขมโก

"พระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ในโลกนี้ ท่านอยู่นอกโลก"

หลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ

"ส่วนกายพระอรหัต ถ้าถึงพระอรหัตละก็ นิจจัง สุขัง อัตตาแท้ๆ กายธรรมมีขันธ์เหมือนกัน แต่เป็นธรรมขันธ์ ท่านไม่เรียกเบญจขันธ์ เป็นธรรมขันธ์เสีย มีธาตุเหมือนกัน เป็นวิราคธาตุ เป็นวิราคธรรม"

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช

"พระพุทธเจ้าท่านเพียงไม่มีร่างเหลืออยู่เท่านั้น พระบารมีและคุณธรรมยังอยู่ ทรงเสด็จไปสอนด้วยพระพุทธบารมีได้"

สมเด็จพระสังฆราช อริยวงศาคตญาณ (แพ ติสูรเทโว)

"สัตว์โลกยังมีอวิชชาจะเข้าใจว่าขันธ์ ๕ เป็นอัตตา เว้นเมื่อเข้าถึงอสังขตธาตุได้ความบริสุทธ์เป็นนิพพาน จะเข้าใจว่าขันธ์ ๕ เป็นอนัตตาทันที แล้วจะเห็นว่าพระนิพพานเป็นอัตตา"

พระเดชพระคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย ์ สิริจนฺโท จันทร์

"พระนิพพานเป็นพระมหานครอันใหญ่เป็นที่บรมสุขหาที่เปรียบมิได้ อย่าเข้าใจว่าจะไปนิพพานด้วยกำลังกาย"

ท่านเจ้าคุณธมฺมวิตกฺโก

"ตายแล้วจิตยังติดต่อกันได้"

อดีตพระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสโส)

" พระธรรมกาย ได้เแก่พระกายอันบริสุทธิ์ ไม่สาธารณะแก่เทวา และมนุษย์ หมายถึงจิตที่พ้นจากกิเลสแล้ว เป็นพระกายที่เที่ยงแท้ไม่สูญสลาย อินทรีย์ของพระอรหันต์ประณีตสุขุม แม้ตาทิพย์ของเทวดาก็มองไม่เห็น"

หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม

"พระนิพพานมีอยู่ไม่เสื่อมสูญ พระพุทธเจ้าเข้าพระนิพพานก็มีอยู่ในพระนิพพานนั้นแล ถ้าเราเป็นพระอรหันต์ พระโสดาบันเมื่อไร เมื่อนั้นแหละจึงจะเห็นจะรู้ที่อยู่พระพุทธเจ้า ที่อยู่ของพระอรหันต์เจ้าทั้งหลาย"

หลวงปู่บุดดา ถาวโร

"นิพพานไม่สูญ เป็นแต่อาสวะกิเลสสูญ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม วิบาก มันสูญ แต่ สังคตะธรรม อสังคะธรรม วิราคะธรรม มันไม่ได้หมดไปด้วย"

หลวงปู่ดูลย์ อตโล

"นิพพานเป็นของว่าง ไม่มีตัวมีตน หาที่ตั้งไม่มี หาที่เปรียบไม่ได้ ปฏิบัติไปจึงจะรู้เอง"

หลวงปู่ขาว อนาลโย

" อย่าไปยึดถือมัน ก็จิตนั่นแหละมันถือว่าตัวกู อยู่เดี๋ยวนี้ก็ดี เราถือว่าเราเป็นผู้ชาย เราเป็นผู้หญิง ก็แม่นจิตนั้นแหละ เป็นผู้ว่า มันไม่มีตนมีตัวดอก แล้วพระพุทธเจ้าว่าให้วางเสียให้ดับวิญญาณเสีย ครั้นดับวิญญาณแล้ว ไม่ไปก่อภพก่อชาติอีก ก็นั่นแหละพระนิพพาน"

หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

"องค์สมเด็จพระบรมครูตรัสว่า ...โมกขราช เรากล่าวว่า นิพพานนั้นหมายถึงกิเลสดับ และขันธ์ ๕ ดับ... พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกว่า จิตดับ"

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

"ดวงจิตนี้ไม่เคยสูญ แดนพระนิพพานมีจริง หลวงปู่มั่นเล่าว่า พระพุทธเจ้าหลายพระองค์เสด็จมาเยี่ยมท่าน"

หลวงปู่ชอบ ฐานสโม

"นิพพานไม่ได้สูญ ไม่ได้อยู่ตามที่โลกคาดคะเนหรือเดากัน ทำจริงจะได้เห็นของจริง รู้จริง และจะเห็นนิพพานเอง เห็นพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เห็นครูบาอาจารย์ที่ท่านบริสุทธิ์เอง และหายสงสัยโดยประการทั้งปวง"

พระเทพสิทธิมุนี

(พระอาจารย์โชฎก ญาณสิทธิ)

" พระอรหันต์มี ความว่างจากตัวตน-ของตน โดยสิ้นเชิง มีอิสระเหนือทุกอย่าง ที่เรียกว่า "ว่าง" นี้ คือไม่ใช่ว่างชนิดที่เขาพูดกันว่า เช่นว่า จิตนึกคิดอะไรไม่ได้ กายก็แข็งทื่อเป็นท่อนไม้ แต่ที่ถูกนั้น เป็นความว่างจากกิเลส ว่างที่เฉลียวฉลาดที่สุด"

หลวงปู่อ่ำ พระราชกวี (อ่ำ ธมฺมทตฺโต)

"พระพุทธกัสสป เมื่อดับขันธ์ปรินิพพาน เข้าเมืองแสงใส ซึ่งก็คือเมืองแก้วแสงใส ชื่อไทยนี้ คนไทยคงเรียก นิพพาน มานานแล้ว ปราชญ์บัณฑิตโบราณาจารย์จึงกล่าวเสมอๆ เช่น ถึงเมืองแก้ว อันกล่าวแล้ว คือ อมตมหานครนฤพาน ดังใน มหาเวสสันดรเทศนา กุมารกัณฑ์"

พระครูพัฒนกิจจานุรักษ์

(หลวงปู่ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา)

" นิพพานเป็นแดนแห่งความมั่นเที่ยง นิพพานแล้วเป็นสุข นิพพานมีสาระเป็นแก่นสาร นิพพานมีความเป็นสุขอย่างยิ่ง พระนิพพานไม่ใช่อัตตา พระนิพพานเป็นปัจจัตตัง"

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร

"จิตวิญญาณมันไม่ใช่ของแตกของทำลาย แลไม่ใช่ของสูญหาย พระพุทธเจ้าสอนให้จิตมันเที่ยง เหมือนพระนิพพานเป็นของเที่ยง ไม่แปรผัน ยักย้าย สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็ฯทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ "

หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต

" สูญในพระนิพพานมีขอบเขต สูญจากกิเลสเท่านั้น รสของพระนิพพานมีอยู่ พระนิพพาน ไม่เกิดไม่ดับไปไหน เป็นอนัตตาธรรม เราจะเอาพระนิพพานมาเป็นอนัตตา เหมือนขันธ์ ๕ และกิเลสทั้งหลายมันก็ไม่ถูก เรียกว่าแยกอนัตตาธรรมไม่ถูก"

หลวงปู่ลี ธมมฺโร วัดอโศการาม

" โลกนิพพาน ไม่มีทั้งเกิด ไม่มีทั้งตาย กายเป็นของสูญ จิตเป็นของไม่สูญ ไม่ตาย จิตที่ดับจากกาย ย่อมหายไป เหมือนกับไฟที่ดับจากเทียน"

พระนาคเสน มหาเถระ

ผู้ตอบปัญหาพระเจ้ามิลินทราชา

" ผู้ที่ยังไม่ได้นิพพานก็รู้ว่านิพพานเป็นสุข เพราะได้ยินเสียงพวกได้นิพพาน.....พระพุทธเจ้ามีจริง แต่พระพุทธเจ้าปรินิพพานดับขันธ์แล้ว ไม่อาจชี้ได้ว่าอยู่ที่ไหน เหมือนเปลวไฟที่ดับแล้วก็ไม่อาจชี้ได้ว่าอยู่ที่ไหน อาจชี้ได้เพียงพระธรรมกาย ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น.........นิพพานเป็นของต้องรู้ด้วยใจ พระอริยสาวกผู้ปฏิบัติชอบแล้วย่อมได้เห็นนิพพาน ด้วยใจอันบริสุทธิ์ อันสงบประณีต อันเที่ยงตรง ไม่มีเครื่องกั้นกาง อันไม่มีอามิส"

ไตรภูมิพระร่วง ของพญาลิไท

"พระพุทธเจ้าแลพระองค์ ๆ โปรดเทพยดามนุษย์ทั้งหลายเข้าสู่นิพพาน ผิวคณนาได้ ๒๔ อสงไขยแล ๑๑๖๐ โกฏิก็มี มิก ๑๐๖,๖๖๖ คนเป็นกำไรโสดเถิงนครนิพพานอันประเสริฐยิ่งภูมิทั้งหลาย ๓ นี้แล ฯ ทั้งอนันตจักรวาฬอันเป็นเอกาทสกจบโดยสังเขปแล ฯ ผู้ใดจะเถิงแก่มหานคยนิพพานบมิรู้ฉิบหาย บ่มิรู้แปรปรวนไป"

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท