เหตุการณ์หน้ารัฐสภาไทยเมื่อวานนี้ (๗ ต.ค.) มีผู้เปรียบเปรยว่าเป็นแดนมิคสัญญี ซึ่งคำนี้คิดว่าความเข้าใจของคนทั่วไปคงจะหมายถึง สถานที่รบราฆ่าฟันโดยไม่มีใครเกรงกลัวใคร ซึ่งอาจตรงกับภาษาอังกฤษว่า warfare เป็นต้น และความหมายเดิมในภาษาบาลีก็ทำนองนี้เหมือนกัน...
- มิคะ + สัญญี = มิคสัญญี
มิคะ แปลว่า เนื้อ โดยคัมภีร์ระบุว่าใช้ ๒ ความหมาย ความหมายแรกหมายถึงสัตว์เลี้ยงทั่วไป และความหมายที่สองหมายถึงสัตว์ที่มีหนังเป็นประโยชน์เช่นกวางหรือสมัน... เมื่อพิจารณาการใช้ศัพท์นี้ ก็คือสัตว์ที่ไม่มีพิษภัย และอาจถูกฆ่าได้ง่าย ซึ่งคำไทยโบราณรวมความแล้วเรียกสัตว์ทำนองนี้ว่า เนื้อ หมายถึงสัตว์ที่อาจฆ่าเพื่อเอาเนื้อมาเป็นอาหารได้โดยไม่ยากนัก... เฉพาะคำนี้ อาจตั้งวิเคราะห์ได้หลายนัย ดังเช่น
- มรตีติ มิโค
- สัตว์ใด ย่อมตาย ดังนั้น สัตว์นั้น ชื่อว่า มิคะ
- จาทิตุกาเมหิ มียตีติ มิโค
- สัตว์ใด อันผู้ต้องการจะกิน ย่อมเบียดเบียน ดังนั้น สัตว์นั้น ชื่อว่า มิคะ
- อิโต จิโต โคจรํ มิคตีติ มิโค
- สัตว์ใด ย่อมเสาะหา ซึ่งแหล่งอาหาร โดยทางนี้และทางนั้น ดังนั้น สัตว์นั้น ชื่อว่า มิคะ
สัญญี แปลว่า มีสัญญา (คำว่า สัญญา เคยเล่าไว้แล้ว ผู้สนใจ คลิกที่นี้ ) หรืออาจแปลออกศัพท์ว่า มีความสำคัญหมาย... คำนี้เป็นศัพท์ตัทธิต อาจวิเคราะห์ได้ว่า
- สญฺญา ตสฺส อตฺถีติ สัญญี
- ความสำคัญหมาย ของผู้นั้น มีอยู่ ดังนั้น ผู้นั้น ชื่อว่า มีความสำคัญหมาย
เมื่อนำคำทั้งสองมารวมกันเป็นคำสมาสว่า มิคสัญญี ก็อาจตั้งวิเคราะห์ได้อีกทำนองหนึ่งว่า
- ปเร มิคํ อิว สญฺญา ตฺตฺถ อตฺถีติ มิคสญฺญี
- ความสำคัญหมาย ซึ่งชนเหล่าอื่น ว่าเป็นเพียงดังเนื้อ ย่อมมี ในที่นั้น ดังนั้น ที่นั้น ชื่อว่า มิคสัญญี (เป็นที่สำคัญหมายซึ่งชนเหล่าอื่นว่าเป็นเพียงดังเนื้อ)
ตามวิเคราะห์นี้ มิคสัญญี ใช้เป็นสถานที่อันไม่มีใครกลัวใคร เพราะแต่ละคนต่างก็คิดว่า คนอื่นๆ นั้น เป็นเหมือนเนื้อ ที่เราจะเบียดเบียนหรือฆ่าเสียเมื่อไหร่ก็ได้... และคำว่า ที่นั้น ถ้าเปลี่ยนเป็นบริเวณหน้ารัฐสภาเมื่อวานนี้ ก็อาจชัดเจนยิ่งขึ้น...
.........
นอกประเด็นนิดหน่อย warfare หรือ สภาวสงคราม หรือบางครั้งเราก็ใช้ว่า มิคสัญญี ทำนองนี้ ทำให้นึกไปถึงวิชารัฐศาสตร์ในเรื่องทฤษฎีกำเนิดรัฐ โดยแนวคิดสัญญาประชาคม หรือ Social Contract ก็เป็นอีกแนวคิดหนึ่งที่ว่าด้วยเรื่องนี้...
ทอมัส ฮอบส์ นักปรัชญาขาวอังกฤษให้ความเห็นทำนองว่า มนุษย์นั้นมีความกระหายอำนาจ ต่างก็คิดว่าตนเท่านั้นเป็นหนึ่งและยิ่งใหญ่ที่สุด แต่ละคนจึงต่างก็ไม่ยอมใคร แก่งแย่งชิงดีซึ่งกันและกัน จึงเกิดสภาวสงครามหรือมิคสัญญี... อย่างไรก็ตาม มนุษย์มีความฉลาด เมื่อเล็งเห็นว่า การแก่งแย่งชิงดีแล้วรบราฆ่าฟันทำนองนี้ ไร้ประโยชน์ จึงได้พร้อมใจยกอำนาจของตนแต่ละคนให้แก่ใครคนหนึง ให้เค้ามีอำนาจเด็ดขาดแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น และนั้นคือ ผู้ปกครอง ของรัฐ ซึ่งได้พัฒนามาเป็นสถาบันกษัตริย์ในสมัยต่อมา...
ขณะที่ จอห์น ล้อค นักปรัชญาชาวอังกฤษอีกคน มีความเห็นแย้งไปจากฮอบส์ โดยล้อคมีความเห็นทำนองว่า การยกอำนาจให้ใครบางคนนั้น เป็นเพียงการมอบให้ชั่วคราว ถ้าเขาทำไม่ถูกต้อง เราแต่ละคนก็อาจมีสิทธิเอากลับคืนมาได้ นั่นคือ ถ้าผู้ปกครองใช้อำนาจไม่เป็นที่พอใจของแต่ละคน และการที่แต่ละคนลุกขึ้นมาทวงอำนาจคืนก็อาจเป็นที่มาของสภาวสงครามหรือมิคสัญญีอีกครั้ง และอีกครั้ง ... ซึ่งประเด็นนี้ ก็โยงมาสู่ระบอบประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้งในสมัยต่อมา...
มิคสัญญี ในคัมภีร์ทางพุทธศาสนาที่ว่าด้วยเรื่องอำนาจทางการเมืองทำนองนี้ ก็มีเช่นเดียวกัน ใครสนใจลองไปค้นช่วงรอยต่อระหว่างการสิ้นสุดและการเกิด ยุค ก็จะเจอเรื่องนี้ไม่ยาก... (คำว่า ยุค ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ จะค่อยนำมาเล่าต่อไป...)
สรุปว่า สภาวสงคราม หรือ มิคสัญญี ดังที่เกิดที่หน้ารัฐสภาเมื่อวานนี้ มิใช่เรื่องใหม่ เป็นเรื่องที่มีผู้คิดเห็นและจินตนาการมานานแล้ว...