ข้อมูล 1. การสัก คือ บัตรประชาชนมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย จนถึงรัชกาลที่ 5
บัตรประชาชนเป็นหลักฐานยืนยันตัวบุคคล มีแนวคิดมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น เนื่องจากยุคนั้นประชาชนซึ่งมีฐานะไพร่ประมาณ 80-90% เป็นทรัพยากรที่มีค่ายิ่ง เพราะเป็นกำลังหลักในด้านเศรษฐกิจ การศึกสงคราม เป็นแรงงานในการก่อสร้าง ฯลฯ ทางราชการจึงต้องมีการสักบอกสังกัดมูลนายไว้ที่ข้อมือ เมื่อจะเดินทางไปท้องที่อื่นจะต้องขออนุญาตจากเจ้านาย การสักข้อมือจึงเป็นวิธีการที่ใช้ในการยืนยันตัวบุคคลของคนไทยมาตั้งแต่อดีต
ข้อมูล 2. เริ่มมีหนังสือเดินทางประมาณปี 2457 ไม่ถึง 100 ปีนี้เอง
หลักฐาน ทางประวัติศาสตร์ที่สามารถชี้ชัดได้ว่าคนไทยเริ่มมีการใช้หนังสือยืนยันตัวบุคคลปราก
ฎอยู่ใน พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. ๒๔๕๗ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ โดย ในมาตรา ๙๐ บัญญัติว่า "กรมการอำเภอเป็นพนักงานทำหนังสือเดินทางสำหรับราษฎรในท้องที่อำเภอนั้น จะนำไปมาค้าขายในท้องที่อื่น"
ข้อมูล 3. หนังสือที่แสดงว่าใครเป็นใคร เริ่มประมาณปี 2486
ดังนั้นในปี พ.ศ. ๒๔๘๖ รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่๘ รัฐบาลโดยการนำของจอมพลป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ได้เสนอออก กฎหมาย ว่าด้วยบัตรประจำตัวประชาชนขึ้นมาบังคับใช้เป็นการเฉพาะครั้งแรก เรียกว่า "พระราชบัญญัติ บัตรประจำตัวประชาชน พุทธศักราช ๒๔๘๖"นับเป็นกฏหมายฉบับแรกที่เกี่ยวกับการจัดทำบัตรประจำตัวประชาชนให้ แก่คนไทย แต่ประกาศและบังคับใช้เฉพาะราษฎรในจังหวัดสองจังหวัดเท่านั้น คือ จังหวัดพระนคร และจังหวัดธนบุรี (กรุงเทพมหานครในปัจจุบัน)
ข้อคิดเห็น
ปัจจุบันเราเห็นโฉนดที่ดิน ทะเบียนรถ ทะเบียนสมรส มีค่ามหาศาล แต่ทุกอย่างต้องใช้บัตรประชาชน
แสดงความเป็นตัวตนในการครอบครองสิ่งเหล่านั้น
จะมีสักกี่คนรู้ว่าสิ่งที่ดูมีค่ามหาศาล พึงมีให้คนไทยได้ชื่นชมมาไม่ถึง 100 ปีเท่านั้น
ความรู้หรือปัญญาใด ๆ ก็พึงสามารถบันทึกเป็นเรื่องเป็นราวได้ไม่นานนี้เอง
พอถามคนรุ่นใหม่ ว่าโฉนดที่ดิน หรือความเป็นเจ้าของในทรัพย์สินมีมานานหรือยัง
คนรุ่นใหม่ บางคนตอบว่า โฉนดที่เป็นมรดกตกทอดสืบมา 20 รุ่น หรือมาสัก 1000 ปีได้แล้ว
ก็พวกเขาคิดว่าสิ่งที่มีอยู่นี่เกิดขึ้นมานานแสนนาน เด็กประถามคิดว่าอินเทอร์เน็ตมีมาสัก 500 ปี
ถ้าขาดอินเทอร์เน็ตเหมือนขาดใจ อะไรทำนองนั้น ก็เพราะไม่รู้ และไม่สนใจจะรู้
เห็นความอยากมีอยากได้ อยากเป็นเจ้าของ อย่างไม่สมเหตุสมผลจากข่าวหน้าหนึ่งแล้ว .. เป็นทุกข์
ยังปล่อยวางไม่ได้ เพราะยังมีอุเบกขาวังไม่นิ่ง ต้องฝึกจิตอีกนาน
http://xchange.teenee.com/index.php?showtopic=66396&st=0&p=850730