ลูกพร้อมจะไปโรงเรียนหรือยัง


พ่อแม่ควรฝึกคุณลักษณะที่สำคัญของเด็กปฐมวัยที่พร้อมจะไปโรงเรียน

                ในวิถีชีวิตปัจจุบันพ่อแม่ที่ต้องทำงานและไม่มีคนช่วยเลี้ยงเด็กที่บ้านมักพาลูกเข้าสถานรับเลี้ยงเด็กตั้งแต่อายุน้อยๆ  บางครอบครัวสามารถจ้างพี่เลี้ยงเด็กมาดูแลเด็กที่บ้านได้ ส่วนน้อยที่จะมีปู่ ย่า ตา ยาย หรือ พี่ ป้า น้า อา เลี้ยงดูให้ในบ้านเดียวกันเนื่องจากว่าเราอยู่กันเป็นครอบครัวเดี่ยวมากกว่าครอบครัวขยายมากขึ้น

                พ่อแม่ที่มีปัญหาของการหาผู้เลี้ยงดูในขณะที่ต้องไปทำงาน จะรู้สึกกังวลน้อยลงเมื่อลูกได้ไปโรงเรียน และหลายคนอาจจะสงสัยว่า ลูกของเราอายุเท่าไรดีจึงควรจะให้ไปโรงเรียน ลูกของเราพร้อมหรือยังที่จะไปโรงเรียน ....โดยทั่วไปนั้นเกณฑ์อายุคงไม่ใช่เรื่องเดียว แต่ควรพิจารณาที่ความสามารถหรือที่เรามักเรียกกันว่าความพร้อม

                เด็กปฐมวัยที่จะไปโรงเรียนนั้นต้องมีความพร้อมซึ่งมีหลายด้านด้วยกัน หากพูดถึงความพร้อมของความสามารถทางร่างกายนั้น พ่อแม่ส่วนใหญ่ประเมินเองได้ไม่ยาก เช่น เด็กต้องเดิน วิ่งได้คล่อง กระโดดได้ สุขภาพแข็งแรงดี ไม่มีโรคเจ็บป่วยทางกาย แล้วความพร้อมด้านอื่นๆล่ะ มีอะไรบ้าง

                เด็กที่พร้อมจะไปโรงเรียนควรช่วยเหลือตนเองได้ เช่น ถอดและใส่เสื้อผ้า รองเท้าได้ บอกได้เมื่อต้องการจะขับถ่าย สามารถไปขับถ่ายและทำความสะอาดร่างกายได้เอง เป็นต้น ในด้านภาษา เด็กรู้จักชื่อตนเอง สามารถทำตามคำสั่งของผู้อื่นได้และสามารถสื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจ ในด้านสังคม เด็กสามารถแยกจากแม่ได้ ไม่กลัวคนแปลกหน้า เด็กได้รับการฝึกในเรื่องระเบียบวินัย  กิน นอน เล่น ขับถ่าย เป็นเวลา เด็กไม่กลัวสิ่งแวดล้อมที่แปลกๆใหม่ๆ และเด็กมีสมาธิในการนั่งทำกิจกรรมต่างๆได้นานอย่างน้อย 10-15 นาทีขึ้นไป เด็กรู้จัก เข้าใจ และสนใจข้าวของของตนเองและของผู้อื่น

                ส่วนการเตรียมความพร้อมของเด็กในทักษะด้านวิชาการ ได้แก่  การรู้จำนวนนับและรูปทรงง่ายๆ  สีบางสีที่สำคัญ ความสามารถในการจับดินสอขีดเขียนอาจจะไม่จำเป็นมากนัก

                ที่สำคัญพ่อแม่ควรฝึกคุณลักษณะที่สำคัญของเด็กปฐมวัยที่พร้อมจะไปโรงเรียนมากกว่าซึ่งคุณลักษณะเหล่านี้จะเน้นในด้านอารมณ์และสังคม ได้แก่

                - ความมั่นใจ (confidence) เป็นการที่เด็กมีความมั่นใจที่จะทำสิ่งต่างๆ  อยากเรียนรู้ แก้ปัญหาได้ ทำงานได้สำเร็จและถ้างานล้มเหลวก็สามารถเริ่มต้นใหม่ได้

                - ความเป็นอิสระ (independence) เป็นการที่เด็กลดการพึ่งพาผู้อื่น สามารถทำอะไรต่างๆได้ด้วยตนเอง

                - แรงจูงใจ (motivation) ที่สำคัญจะต้องมาจากภายในตัวเด็กเองที่ต้องการจะเรียนรู้

                - ความอยากรู้อยากเห็น (curiosity) เป็นความต้องการของเด็ก อยากมีโอกาสที่จะเรียนรู้

                - ความอดทนต่อเนื่อง (persistence) เมื่อเริ่มต้นทำงานแล้ว เด็กสามารถจดจ่อทำงานได้จนสำเร็จ

                - ความร่วมมือ (cooperation) เด็กสามารถร่วมมือทำงานกับผู้อื่นได้ แบ่งปันและรอคอยสิ่งต่างๆได้

                - การควบคุมตนเอง (self - control) เด็กต้องเข้าใจถึงการแสดงออกของอารมณ์ที่เหมาะสม โดยเฉพาะอารมณ์โกรธ ก้าวร้าว เช่น เมื่อโกรธจะตีหรือกัดเด็กคนอื่นไม่ได้

                - ความเข้าใจผู้อื่น (empathy) เด็กเรียนรู้ที่จะสนใจผู้อื่นและเข้าใจว่าผู้อื่นรู้สึกอย่างไร

                การที่จะฝึกคุณลักษณะแบบนี้เป็นเรื่องที่ไม่ยาก เริ่มจากตัวพ่อแม่เองที่ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูกเห็น มีการฝึกระเบียบวินัย อบรมสั่งสอนและฝึกให้เด็กได้มีโอกาสทำสิ่งต่างๆด้วยตนเองและได้ฝึกฝนทำซ้ำๆ พ่อแม่ควรให้เหตุผลกับเด็ก ตัวอย่างเช่น ถ้าเด็กวางรถของเล่นเกะกะไว้ที่บันได ให้บอกเด็กว่า “เก็บรถจากบันได เพราะถ้าวางทิ้งไว้ คนอื่นจะสะดุดล้ม” แต่ไม่ใช่ “ไปเก็บรถ” (เพราะแม่บอกหรือแม่สั่ง บางครั้งถ้าแม่โมโหอาจจะตามด้วย “ ได้ยินมั้ย”) เพียงแค่เหตุการณ์นี้ก็สามารถฝึกคุณลักษณะของเด็กได้หลายข้อแล้ว ถ้าเด็กทำสิ่งต่างๆที่ไม่ดี ไม่เหมาะสม ให้เน้นสิ่งที่ไม่ดี ไม่ชอบว่าเป็นพฤติกรรมของเด็กที่ไม่ดี ไม่ใช่ตัวเด็ก เช่น “แม่รักลูกนะ แต่การที่ลูกตีคนอื่นไม่ถูกต้อง แม่รูสึกโกรธที่ลูกทำอย่างนั้น” ที่สำคัญอย่าลืมชมเชยลูกเมื่อเขาทำงานได้สำเร็จหรือมีพฤติกรรมที่ดี

                ความจริงแล้วคุณลักษณะเหล่านี้นอกจากจะเป็นคุณลักษณะที่สำคัญของเด็กปฐมวัยที่พร้อมจะไปโรงเรียนแล้ว ถ้าเราดูกันดีๆ คุณลักษณะเหล่านี้ยังเป็นคุณลักษณะที่จำเป็นสำหรับเด็กที่เติบโตขึ้นในวัยต่างๆ รวมทั้งผู้ใหญ่ที่อยู่ในวัยทำงานอย่างเราๆด้วย จริงไหม?

 

หมายเลขบันทึก: 213078เขียนเมื่อ 30 กันยายน 2008 21:20 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 พฤษภาคม 2012 11:39 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

สวัสดีค่ะคุณทองคำเปลว

หายหน้าไปนานนะคะ  มาติดตามอ่านเสมอค่ะ

วันนี้โชคดี  จะปิดเครื่องแล้วเจอ

จึงแวะมาคุยด้วย

ขอให้นอนหลับฝันดีนะคะ

ต้องขอบคุณครูคิมมากค่ะที่คอยติดตาม

สวัสดีค่ะ

ได้อ่านบทความทางด้านบนแล้วรุ้สึกว่ามีประโยชน์มากค่ะ

แต่ก็อดลังไลใจไม่ได้อยู่ดี ว่าจะให้ลูกเข้าดรงเรียนปีนี้ดีหรือไม่

เพราะตอนเปิดเทอมปีนี้น้องโอมจะอายุ 2 ปี 8 เดือน จะว่าเล็ก ก้เล็กนะคะ

จะว่ารู้เรื่อง ก้รู้เรื่อง สื่อสารเข้าใจ แม่ให้ทำอะไร เขาอยากให้มครทำอะไรให้

ก็สามารถสื่อสารได้ สุขภาพแข็งแรงดี เดินวิ่ง กระโดด มีสมาธิสามารถจดจ่อกับสิ่งที่สนใจได้นาน สามารถถอดใส่เสื้อผ้าเองได้แต่ยังไม่ 100 % กินอาหารเองได้

แต่ก็ยังหวั่นใจว่าเราจะเร่งลูกมากเกินไปมั้ยคะ บางคนบอกว่าถ้าลูกเข้าโรงเรียนเร็วเกินไปแล้วเขายังไม่พร้อมลูกก็จะเครียดนะ บางคนบอกว่าเข้าช้าก็จะเสียโอกาสนะคะ

เลยตัดสินใจไม่ถูกค่ะ รบกวนขอคำแนะนำเพิ่มเติมจะได้มั้ยคะ

ขอบคุณมากค่ะ

ขอบคุณค่ะ คงต้องดูหลายปัจจัย บทความนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นค่ะ

จากที่คุณแม่น้องโอมเล่าในเรื่องความพร้อมทั่วๆไป น้องโอมน่าจะมีพอสมควรแล้ว แต่ควรจะดูคุณลักษณะที่กล่าวมาอีกหลายๆอย่าง ได้แก่ ความมั่นใจ แรงจูงใจให้น้องโอมอยากไปโรงเรียน ถ้าไม่เตรียมไว้ เด็กบางคนไม่เคยถูกแยกจากแม่ เข้าใจผิดคิดว่าถูกลงโทษ พอไปถึงโรงเรียนก็ร้องไห้ไปหลายวัน หรือดูการควบคุมตนเอง เวลาน้องโอมโกรธแล้วเป็นอย่างไร ถ้าโกรธแล้วทำร้ายตนเอง ทำร้ายผู้อื่นหรือทำลายสิ่งของนั้นก็ยังไม่พร้อมที่จะไปโรงเรียน อันนี้คือตัวอย่างของการดูที่น้องโอม

ต่อไปก็ต้องดูคุณพ่อคุณแม่ค่ะว่าถ้าเขายังไม่ไปโรงเรียนคุณพ่อคุณแม่พร้อมที่จะสอนให้เขาเรียนรู้ที่บ้านหรือไม่ หรือถ้าจะให้ไปโรงเรียนคุณพ่อคุณแม่ก็มีความพร้อม เช่น เรื่องของการบริหารจัดการเวลารับส่ง หรือถ้าเป็นครอบครัวใหญ่ก็ต้องคุยกับสมาชิกในบ้าน เรื่องการไปโรงเรียนของน้องโอมด้วย

ปัจจัยที่สำคัญอีกอันหนึ่งก็คือโรงเรียนที่จะให้น้องโอมไปเรียนเป็นโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนแบบไหน เร่งเรียนหรือไม่ ครูผู้ดูแลหรือครูพี่เลี้ยงเป็นอย่างไร โรงเรียนอยู่ไกลบ้านหรือที่ทำงานหรือไม่

โรงเรียนอนุบาลหรือ daycare เดี๋ยวนี้รับเด็กตั้งแต่อายุน้อยๆทั้งนั้น พ่อแม่ก็ให้ลูกไปเรียนตั้งแต่อายุน้อยๆ แต่อาจเพราะความจำเป็นของบางครอบครัว

คุณแม่น้องโอมลองพิจารณาและปรึกษากันในครอบครัวดูนะคะ

แต่สำหรับความเห็นส่วนตัว ถ้าลูกตัวเองอายุ 2 ปี 8 เดือน ยังไม่ให้ไปโรงเรียนหรือ daycare หรอกค่ะ

  • สวัสดีค่ะ
  • คิดถึงบรรยากาศตอนลูกจะไปโรงเรียนวันแรกน่ะค่ะ
  • ชุลมุนวุ่นวาย แต่สุขใจเสียเหลือเกิน
  • มองไปทางไหนก็เจอแต่เด็กน่ารัก ๆ ทั้งนั้น
  • แต่คนที่ดึงมือเราไว้ ไม่ยอมให้เรากลับ แถมร้องไห้เสียงดังกว่าใคร น้ำมูก น้ำลายเฟอะฟะไปหมด กลับน่ารักที่สุด
  • ลูกเรานั่นเอง
  • ขอบคุณค่ะ

ลูกคนเล็กไปโรงเรียนวันแรกก็ร้องไห้ ลูกคนโตไปวันแรกไม่ร้องไห้ เทอมแรกทั้งเทอม ไม่ร้องเลย เก่งจังเลย ที่ไหนได้ เปิดเทอมสอง ร้องตั้งแต่วันแรกเหมือนกันค่ะ

ลืมบอกไปว่า ในทางกลับกัน พ่อแม่บางคนถ้าไม่เตรียมตัวเตรียมใจไว้ เวลาเห็นลูกร้องไห้วันแรก อาจต้องร้องว่า....คราวนี้ทำใจลำบาก..เหลือเกิน...

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท