เจ...คำนี้ มีแต่บุญ
ช่วงนี้ของทุกปี (ตุลาคม) เราได้อิ่มบุญกุศล กับการกินเจกันอีกแล้ว นึกขึ้นได้ว่าเคยมีเพื่อนถามว่า เอ็งกินเจไปทำไมอ่ะ แล้วทำไมต้องกินเจ ไม่กินเอ บี ซี ดี อี กันล่ะเพื่อนเอ้ย ! มีตั้งเยอะแยะ เหอ ๆ
วันนี้ไปค้นหาที่มาที่ไป เลยมาเล่าให้ฟังกันซะหน่อย เผื่อใครอยากรู้ เอาไว้ตอบเขาได้ไม่อายใคร .......
"กินเจ" เป็นคำที่คุ้นหูกันมากสำหรับบรรดาสาธุชนผู้ใฝ่ใจในการปฏิบัติธรรมทั้งหลาย แต่สำหรับคนทั่วไปส่วนใหญ่ยังคงคิดกันไปว่า การกินเจเป็นเรื่องของคนที่เชื่อบาปเชื่อบุญมากกว่า จะเห็นว่าแท้จริงแล้วการกินเจเป็นเรื่องของเหตุและผลที่ถูกต้องดีงาม
มีคำกล่าวว่า "คนเราจะยืนได้ ขาทั้งสองต้องแข็งแรงเสียก่อน" ความหมายก็คือ ก่อนที่เราจะลงมือปฏิบัติการงานใดๆ ก็ตาม จำเป็นต้องมีพื้นฐานที่มั่นคงเสียก่อน สิ่งสำคัญสองประการที่จะช่วยเหลือค้ำจุนให้เรามีรากฐานที่มั่นคง ได้แก่
ประการที่ 1 คือ "ความรู้" เราต้องศึกษาหาความรู้ในเรื่องที่จะปฏิบัติให้ดีเสียก่อน โดยอาศัยการได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน มามากพอสมควร
ประการที่ 2 คือ "สติปัญญา" เราต้องรู้จักใช้สติปัญญาเข้าไปพิจารณาความรู้เหล่านั้นอย่างรอบคอบ จนบังเกิดความเข้าใจกระจ่างชัดถึงเหตุและผล โดยถูกต้องถ่องแท้ หากจะลงมือปฏิบัติการใดๆ โดยขาดทั้งความรู้และสติปัญญาพิจารณา ก็ยากที่จะสำเร็จลุล่วงไปได้ เมื่อไม่ศึกษาก็ไม่รู้ รู้แล้วไม่พิจารณาก็ไม่เข้าใจ แต่ผู้ที่ศึกษาจนเข้าใจดีแล้ว ยังไม่ลงมือปฏิบัติก็ไร้ประโยชน์ โอสถทิพย์แม้จะวิเศษล้ำเลิศสักปานใด หากคนไม่ยอมกิน ผลดีนั้นก็ไม่มีทางจะเกิดขึ้นแก่เขาได้เลย การกินเจเป็นเรื่องรู้ได้เฉพาะตน ผู้ที่ได้ปฏิบัติแล้วเท่านั้นจึงจะประจักษ์แจ้งถึงคุณวิเศษ อันล้ำเลิศได้ด้วยตนเอง
ส่วนคำว่า "เจ" ในภาษาจีนมีความหมายทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายานว่า "อุโบสถ" คำว่า "กินเจ" ตามความหมายที่แท้จริงคือการรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวัน ดังเช่นที่ชาวพุทธในประเทศไทยถือ "อุโบสถศีล" หรือ "รักษาศีล 8" จะไม่รับประทานอาหารหลังจากเที่ยงวันไปแล้ว แต่เนื่องจากการถืออุโบสถศีล ของชาวพุทธฝ่ายมหายานไม่กินเนื้อสัตว์ จึงนิยมเรียก "การไม่กินเนื้อสัตว์" ไปรวมกันคำว่า "กินเจ" ซึ่งเป็นการถือศีลไปด้วย ในปัจจุบันผู้ที่รับประทานอาหารทั้ง 3 มื้อ แต่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็ยังคงเรียกว่า "กินเจ"
ดังนั้นความหมายก็คือ "คนกินเจ" มิใช่เพียงแต่ไม่กินเนื้อสัตว์ แต่คนที่กินเจ ยังต้องดำรงตนอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม มีความบริสุทธิ์สะอาด งดงามทั้งกาย วาจา ใจ เป็นการถือศีลบำเพ็ญธรรมไปด้วยพร้อมกัน เช่นนี้แล้วจึงจะเรียกว่า "กินเจที่แท้จริง" ดังนั้น คำคล้องจองที่เราได้ยินอยู่เสมอ คือ "ถือศีลกินเจ" จึงนับว่ามีความหมายสมบูรณ์ครบถ้วนอยู่ในตัวเองแล้ว
ตามร้านขาย "อาหารเจ" เราจะพบเห็นตัวอักษร คำนี้อ่าน "ไจ" (เจ) แปลว่า "ไม่มีของคาว" เขียนด้วยสีแดงบนพื้นสีเหลืองเสมอ ในช่วงเทศกาลกินเจเดือน 9 จะเห็นตัวอักษรนี้เขียนบนธงสีเหลือง ปักอยู่ตามแผงขายอาหารเจมองเห็นเป็นที่สะดุดตาแก่คนทั่วไป ชาวจีนถือว่าสีแดงเป็นสีแห่งสิริมงคลแก่ชีวิต สีเหลืองเป็นสีของผู้ทรงศีล ดังนั้นผู้ตั้งใจถือศีลบำเพ็ญตนให้บริสุทธิ์ ตัวอักษรนี้ย่อมเป็นเครื่องหมายเตือนสติให้ระลึกไว้เสมอว่า
"การกินเจงดเว้นเนื้อสัตว์ของคาวคือ การปฏิบัติธรรม รักษาศีลของความเป็นมนุษย์ เป็นการเจริญมหาเมตตากรุณาธรรมโดยแท้ อันจะนำมาซึ่งความเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง และก่อให้เกิดสันติสุขแก่ทุกชีวิตบนโลก"
ที่มา : จากสำนึกความเป็นไทย www.Banfun.com
บุญรักษาครับพี่น้อง......
สวัสดีค่ะคุณพิริยะ อนุกุล
ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ขอขอบคุณที่ไปเยี่ยมนะคะ
เทศกาลเจ เพียงแค่คิดและต้งใจก็เป็นกุศลแล้วนะคะ
ขอให้กุศลแห่งผลบุญดลใจให้เป็นสุขตลอดไปนะคะ
กำลังกินเหมือนกันครับ ถูกบังคับเพราะมหาวิทยาลัยมีแต่อาหารเจ ฮ่าๆๆ
สวัสดีค่ะ
ใยมดยังเสียดายอยู่เลย
ปีที่แล้วกินเจเป็นปีแรก กินได้ 9 วันค่ะ
ปีนี้ก็คิดไว้ว่าจะกินเจอีก
แต่ตอนนี้ติดช่วยงานศพเค้า อยู่ใกล้บ้านนี้เองค่ะ
ปีนี้ก็เลยไม่ได้กินเจครบ 9 วัน ตามที่ตั้งใจไว้
คิดว่าเสร็จจากงานศพแล้วก็จะร่วมกินเจ
ได้ไม่กี่วันก็ยังดีค่ะ
แต่ก็ไม่ซีเรียสอะไรมาก เพราะปกติใยมดก็กินเขี่ยอยู่แล้ว
ขอบคุณน่ะค่ะ
สวัสดีค่ะ มาเยี่ยมมาเยือนค่ะ
ตัวเองก็คิดว่าจะกินเจเหมือนกัน
แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะได้กี่วัน
ขอบคุณมากค่ะ
สวัสดีฮะ
ขออิ่มบุญด้วยคนนะฮะ
และ ขออนุโมทนาบุญ กับเจ้าของเรื่องเจ... นี้ และ กับทุกๆ ท่านด้วยฮะ